วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

ธุรกิจเว็บไซต์

ทำธุรกิจเว็บไซต์ : เริ่ม ต้น ธุรกิจ ออนไลน์ article
                                                              
ในการนำเว็บไซต์มาสร้างธุรกิจนั้น ถ้าจะให้ดีคุณต้องมีความรู้และความเข้าใจ รู้ว่าเว็บไซต์จะให้ประโยชน์อะไรบ้างต่อธุรกิจหรือกิจการของคุณเอง และต้องรู้ด้วยว่า เมื่อมีเว็บไซต์แล้วต้องเรียนรู้อะไรบ้าง? ต้องบริหารและจัดการเรื่องอะไรบ้าง? สิ่งเหล่านี้คุณต้องทำการบ้านให้หนักในระยะเริ่มแรก แนะนำให้ใช้หลักปรัชญาชั้นยอดของในหลวง 3 ข้อ ดังนี้
1. เข้าใจ
2. เข้าถึง
3. พัฒนา
ให้นำหลักทั้ง 3 ข้อนี้มาเป็นไกด์ไลน์หรือเข็มทิศในการดำเนินการในแต่ละจุด
ประโยชน์ของเว็บไซต์มีมากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับธุรกิจการค้าขาย
ประโยชน์ของเว็บไซต์ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะในแวดวงธุรกิจเท่านั้น ว่าเว็บไซต์ให้ประโยชน์กับธุรกิจอย่างไร
เว็บไซต์ สามารถประยุกต์เข้ากับธุรกิจได้อย่างลงตัว  และสามารถสร้างมูลค่ารายได้อย่างมหาศาลในสินค้าบางชนิด และการค้าทุกประเภททุกแขนงในอนาคตอันใกล้นี้ จะเข้าสู่ระบบเว็บไซต์ออนไลน์

1 ) ใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากข้อได้เปรียบของเว็บไซต์ที่ออนไลน์อยู่ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงใน 365 วันโดยไม่มีวันหยุด และประการสำคัญทุกคนในโลกนี้สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา เพียงแต่จะทำอย่างไรจึงจะให้คนจากทุกมุมโลกเข้าถึงได้ และเว็บไซต์ดังกล่าวควรเป็นเว็บไซต์มาตรฐาน ( ไม่ใช่เว็บไซต์แจกฟรีทั่วไป ซึ่งไม่แน่นอนจะถูกปิดเมื่อใดก็ได้ )
2 ) ใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ธุรกิจให้คนทั่วไปได้รู้จักมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เว็บไซต์สร้างแบรนด์ได้เช่นกัน คนจากทั่วโลกสามารถเข้าถึงเว็บไซต์และรู้จักสินค้าของท่านมากขึ้น ซึ่งนับวันความสำคัญของเว็บไซต์ต่อธุรกิจในยุคโลกาภิวัฒน์จะเพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆ เป็นลำดับ ธุรกิจใดไม่มีเว็บไซต์ก็จะเป็นธุรกิจที่ล้าหลัง ตกยุคไปสุดท้ายก็ต้องยุติลง
ใครที่ควรมีเว็บไซต์ ?? ก็ ต้องบอกว่า ผู้ที่ทำการค้าทั้งหมดนั่นแหละสมควรมี ไม่ว่าคุณจะค้าขายอะไร ประเภทสากกระเบือ ยันเรือรบ นำมาขายทางออนไลน์ได้หมด ท่านอาจจะไม่คาดคิดว่า สิ่งที่ไม่น่าจะขายได้ แต่สามารถขายได้ทางออนไลน์
การมีเว็บไซต์ในทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องมี ทุนมากมายอย่างแต่ก่อน มีทุนหลักพันก็สามารถทำได้ และไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมได้ เพียงคุณมีพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์เล็กน้อยก็สามารถทำได้แล้ว คุณสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจร้านค้าออนไลน์ หรือเถ้าแก่ออนไลน์แบบง่ายๆ แต่ต้องมีหลักการและเรียนรู้ระบบพอสมควร ร้านค้าออนไลน์ส่วนบุคคลหรือคนเดียวทำเองมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ล่มสลายเลิกร้างไปทุกวันเหมือนกัน เหตุเพราะขาดความรู้ความเข้าใจ คิดอยากจะทำก็ทำ เห็นเขาทำแล้วขายได้ดี แต่หารู้ไม่ว่ากว่าเขาจะขายดีได้ เขาต้องผ่านการเรียนรู้ฝึกอบรมมาสารพัดล้มลุกคลุกคลาน ต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคมากมาย แต่สมัยนี้การทำร้านค้าออนไลน์ง่ายขึ้น สามารถลดความเสี่ยงต่อการเจ๊งได้ เพราะมีที่ปรึกษาหรือพี่เลี้ยงมากมายคอยแนะนำ แต่ส่วนมากคนไทยเราไม่นิยมใช้ ฉายเดี่ยวคนเดียว ผลออกมาก็คือ ล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งขณะนี้ก็มีให้เห็นทุกวัน เปิดเว็บไซต์ได้ระยะหนึ่ง ขายไม่ได้แล้วก็ถอดใจออกไปจากระบบ ไหนๆก็ลงทุนแล้ว ทำไมไม่เลือกการลดความเสี่ยงในเมื่อมีทางให้เลือก???
การจะทำอะไรหรือสร้าง ธุรกิจอะไรขึ้นมาสักอย่าง จำเป็นอย่างยิ่งมากๆที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะทำนั้น ยิ่งเป็นธุรกิจการค้า พื้นฐานก็ควรมีความรู้เกี่ยวกับการทำมาค้าขายบ้าง หรือถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็จำเป็นที่จะต้องไปเรียนรู้จากผู้ที่รู้หรือผู้ เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ  การทำการค้าบนดินก็ยากพอสมควรอยู่แล้ว  นี่ต้องไปทำการค้าบนโลกออนไลน์ ซึ่งจะยากเป็นหลายเท่าตัว ซึ่งบางท่านอาจจะคิดเช่นนี้  แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำตอบคือใช่  แต่ยากหรือง่ายไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ทุกๆอย่างสามารถเรียนรู้ได้จากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์มาก่อน  รู้เขา รู้เรา  รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง คำพูดนี้ยังเป็นสัจธรรมเสมอ  องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอันดับแรกๆที่จำเป็นต่อการสร้างธุรกิจออนไลน์หรือ อีคอมเมิร์ชก็คือองค์ความรู้นั่นเอง  หลายชีวิตที่ต้องยุติลงในการสร้างธุรกิจออนไลน์  สาเหตุส่วนใหญ่มาจากไม่มีความรู้ก่อนการทำธุรกิจนี้  ซึ่งจะไปคิดว่าธุรกิจออนไลน์ก็เหมือนกาค้าขายบนดินทั่วๆไปนี่เอง  ถ้าคิดเช่นนี้ก็ถือว่าคิดผิดถนัดทีเดียว  ธุรกิจออนไลน์ถือเป็นธุรกิจพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมกับความก้าวหน้าทางเท คโนโลยี่ที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมา และการค้าในอนาคตก็จะเข้าสู่ระบบนี้แทบทั้งหมด  ดังนั้นผู้ที่คิดจะสร้างธุรกิจออนไลน์จึงควรมีความรู้พื้นฐานและความรู้ที่ เกี่ยวข้องรอบข้าง ชนิดรอบและรู้รอบในธุรกิจออนไลน์ก็ว่าได้  ซึ่งไม่ได้ยากเย็นหรือสลับซับซ้อนอะไร เรียนรู้วันเดียวได้สบาย  ถ้าเรามีความรู้ดีพอแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะตกม้าตาย หรือมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
     ที่นี่เราพร้อมที่จะช่วยท่าน  สอนความรู้พื้นฐานจนถึงขั้นสูง  กลยุทธ เทคนิคต่างๆรอบด้าน  ซึ่งยังไม่มีที่ใดทำกัน บริการสอนถึงที่หรือที่สำนักงานของเรา โดยเน้นสอนภาคปฏิบัติจริง เรียนรู้ไปพร้อมของจริง การปฏิบัติจากของจริงทั้งหมด  เราจะช่วยให้คำแนะนำและคำปรึกษาในทุกๆเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจออนไลน์ จนกว่าท่านจะแกร่ง เชี่ยวชาญ ยืนอยู่บนขาของตัวเองได้

ท่านรู้หรือไม่ว่าการทำ E-commerce ต้องเริ่มต้นอย่างไร?
 ก่อนอื่นต้องรู้หรือมีข้อมูลของการทำ E-commerce คร่าวๆก่อน ว่ามันคือ อะไร  ทำอย่างไร เริ่มต้นอย่างไร  แต่สรุปแบบคร่าวๆมีดังนี้.-
  1 ) เริ่มต้นด้วยการคัดเลือกโดเมน ซึ่งส่วนมากจะตั้งโดเมนแบบตามใจข้าพเจ้า  ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่  การตั้งโดเมนมีหลักเกณฑ์ของมัน  ไม่ใช่ใครจะตั้งก็ตั้ง  ตั้งโดเมนไม่เข้าท่าถึงขั้นล้มเหลวไปก็มาก ซึ่งผลที่ออกมาก็เลิกร้างไป  เพราะได้โดเมนไม่เหมาะสม  ถ้าไม่รู้จริงๆขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้รู้จะดีกว่า ใครก็ได้ที่มีความรู้ในเรื่องของโดเมน
  2 ) วางแผนสร้างเว็บไซต์  ซึ่งถ้าไม่มีความรู้ในเรื่องการเขียนโปรแกรม ขอแนะนำให้ใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปหรือเว็บไซต์ระบบอัตโนมัติ  แต่การเลือกใช้บริการแต่ละเจ้าก็ต้องดูรายละเอียดและหาข้อมูลให้ชัดเจน  ในที่นี้เราขอแนะนำให้ใช้เว็บไซต์สำเร็จรูป  ทั้งนี้เพื่อท่านจะได้บริหารได้เองเต็ม 100% ควบคุมดูแลทุกอย่างไม่ต้องอาศัยใครหายใจแทน พึ่งตนเองดีที่สุด แต่ต้องดูประสิทธิภาพของแต่ละรายด้วยนะท่าน
  3 ) โฆษณาเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมา  เช่น การเพิ่มเว็บไซต์ในเว็บไซต์ดังๆหลายที่  การทำ Search Engine ซึ่งในปัจจุบันถือว่าเป็นหัวใจหลักๆของ E-commerce การโฆษณาตามเว็บไซต์ต่างๆ และการโฆษณาแบบออฟไลน์
  3 ) การพัฒนาเว็บไซต์หรือการอัพเดท  เว็บไซต์ต้องมีการอัพเดทอย่างสม่ำเสมอ  เว็บไซต์ไม่มีการที่จะสร้างเสร็จแล้วเก็บไว้  ต้องมีการเคลื่อนไหวหรืออัพเดทอย่างต่อเนื่อง จึงจะเป็นเว็บไซต์ที่ดี   ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นแบบคร่าวๆเริ่มต้นเท่านั้น  และในความเป็นจริงแล้วท่านต้องจ่ายแบบต่อเนื่องแทบทุกขั้นตอน  แต่ของเราจ่ายครั้งเดียวจบครับ  ไม่ต้องเสียเวลาหาผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านจากที่ต่างๆให้วุ่นวายใจ
             กลยุทธ์ทางการตลาดแบบออนไลน์หรือการทำ E-commerce
  1 ) ต้องรู้และวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายออก
 2 )  มีจุดเด่นในสินค้าของตัวเองหรือการบริการ
 3 ) การทำตลาด เช่น ทำตลาดเฉพาะในประเทศ หรือ ทำตลาดต่างประเทศ หรือทำทั้งสองอย่างรวมกัน ซึ่งต้องวิเคราะห์ให้ออกในจุดนี้
 4 ) มีเป้าหมายหรือ Focus ที่แน่นอน
      และอีกหลายอย่างมากมาย  ซึ่งไม่สามารถนำมาถ่ายทอดได้ทั้งหมด ณ ที่นี้ได้
      ที่นี่จะให้บริการ ครอบคลุมข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด  ซึ่งในประเทศไทยมีบริการเช่นนี้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น  ส่วนมากจะให้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น  ทั้งนี้เพราะขบวนการต่างๆค่อนข้างมากประเภทสอนวันเดียวไม่หมด   ต้องต่อเนื่องเรื่อยๆ  ซึ่งไม่มีใครทำกัน เพราะจะไปแย่งเวลาการทำธุรกิจอย่างอื่น  แต่เราทำได้และเชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้จากประสบการณ์โดยตรง 
    การทำ E-commerce ทำได้ไม่ยาก  แต่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน  ทั้งนี้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ข้อมูลรอบด้าน  แต่ก็ง่ายมากกว่าการเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว   ทุกท่านที่มีความตั้งใจอย่า เพิ่งถอดใจก่อน  จากประสบการณ์มากว่า 6 ปีเต็มในธุรกิจนี้ เราจะถ่ายทอดให้ท่านและช่วยเหลือเติมเต็มในสิ่งที่ท่านยังไม่มีให้ครบ
  หมายเหตุ  :   ลูกค้าที่อยู่ในต่างจังหวัด  ถ้าต้องการให้เราไปช่วยเหลือท่านถึงที่ตัวต่อตัว  ท่านต้องออกค่าใช้จ่ายต่างๆเองทั้งหมด  แต่ทางที่ดีและประหยัด ท่านสามารถติดต่อทางโทรศัพท์กับเราได้ตลอดเวลา  มีปัญหาปรึกษาได้ทันทีเหมือนที่ปรึกษาส่วนตัวของท่าน  ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ท่านสูงมาก ยืดหยุ่นได้ตลอดเวลา   นี่คือบริการที่ธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาจากเราที่จะมอบให้ท่าน 
ตัวอย่างเว็บไซต์การทำ E-commerce ที่เราบริหารและให้บริการที่ประสบผลสำเร็จสูงอย่างต่อเนื่อง โปรโมทเว็บด้วย Search Engine 100%
   1. 
Coffeemade.com ( ของลูกค้าแฟรนไชส์กาแฟสด ผู้ให้บริการเปิดร้านกาแฟต้นทุนต่ำ ได้ลูกค้าจากเว็บไซต์ 100% และเป็นการโปรโมทเว็บไซต์จาก Search Engine 100% )
   2.  RF-Foam.com     ( ลูกค้ารายนี้ทำธุรกิจบริการพ่นฉนวนกันความร้อน ฉนวนกันเสียง ลูกค้ามาจากเว็บไซต์ 100% และเป็นการโปรโมทเว็บไซต์จาก Search Engine 100% )
   3.  Kasamashop.com   ( เป็นเว็บไซต์ของเราเอง โปรโมทเว็บไซต์จาก Search Engine 100% )
   4.  Bangkokshow.com    ( เป็นเว็บไซต์ของเราเอง โปรโมทเว็บไซต์จาก Search Engine 100% )
   5.  9Thai9.com        ( เป็นเว็บไซต์ของเราเอง โปรโมทเว็บไซต์จาก Search Engine 100% )
   6.  Crintermex.com    ( เว็บไซต์ของลูกค้าของเรา )
   7.  Supremeprint.net      ( เว็บไซต์ของลูกค้าของเรา )
                              และอีกหลายเว็บไซต์
 What is Search  Engine?
คุณรู้ถึงอานุภาพของ Search Engine หรือไม่? ทำไมต้อง Search Engine ?
ถ้าคุณใช้อินเตอร์เนตอยู่เป็นประจำและเข้าค้นหาข้อมูลที่เว็บไซต์ Google.co.th เป็น ประจำ แล้วคุณจะเข้าใจดีและถึงบางอ้อทันที เหตุเพราะในเสิร์ชเอนจิ้นของกูเกิ้ลหาได้ทุกอย่าง สากกระเบือยันเรือรบ รวมถึงค้นหาบุคคลได้อย่างแม่นยำ
   ถ้าจะว่าไปแล้ว Search Engine ก็คือขุมทรัพย์มหาศาลนี่เอง เพียงแต่ใครจะมองเห็นและมองออก และเข้าถึงขุมทรัพย์นี้ได้อย่างตรงจุด คุณอย่าเพียงแค่เรียนรู้เท่านั้น จงนำมันไปสร้างความร่ำรวยให้ตัวคุณเองได้จริง
อาจมีหลายๆท่านที่เพิ่งเข้า มาในระบบออนไลน์ หรือเพิ่งทำการค้าขายในระบบออนไลน์ เลยยังไม่เข้าใจว่าเสิร์ชเอนจิ้นคืออะไรกันแน่ ช่วยตอบให้เข้าใจหน่อย
    เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือเครื่องมือค้นหาข้อมูลหรือโปรแกรมค้นหาข้อมูล เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูลต่างๆในโลกออนไลน์อินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละรายออกแบบไว้ให้ค้นหา เสิร์ชเอนจิ้นส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญหรือคีย์เวิร์ด( Key word ) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไปในเว็บไซต์ค้นหา จากนั้นเว็บไซต์ค้าหาก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการ ขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจิ้นบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไปละเอียดมากขึ้น อานุภาพของเสิร์ชเอนจิ้นมีมากกว่าที่คิด
      กูเกิล เสิร์ช (Google Search) เป็นเสิร์ชเอนจิ้นจากเว็บไซต์ค้นหากูเกิล และเป็นเสิร์ชเอนจิ้นที่มีคนใช้งานมากที่สุดในโลก ผู้คนนิยมมากที่สุดในโลก โดยมีการค้นหามากกว่า หนึ่งร้อยล้านครั้งต่อวัน โดยมีผู้ใช้งานกว่า 1.643 พันล้านคนต่อปี จากผลการสำรวจในปี 2551 และมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลกในทุกๆประเทศจะนิยมเข้ามาค้นหาข้อมูลต่างๆในเว็บไซต์ของกูเกิ้ล ทั้งข้อมูลสินค้าและบริการต่างๆ นี่คือแหล่งข้อมูลมหาศาลหรือตลาดข้อมูล ตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้คนเข้าออกตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุด เป็นตลาดไร้พรมแดนกั้น ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยเสรีจากทุกที่ทุกแห่งที่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เนต ทั้งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและมือถือทั่วไป ซึ่งสามารถทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายสินค้ามาพบกันได้ ณ ที่แห่งนี้

    คุณรู้จัดเสิร์ชเอนจิ้นดีพอหรือยัง?
    เสิร์ชเอนจิ้นให้อะไรมากกว่าที่คิด สามารถสร้างให้คุณร่ำรวยได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ถ้าคุณทำให้เป็นและทำให้ถึง
     สร้างแบรนด์และทำเงินบนโลกออนไลน์ด้วยเครื่องมือ เสิร์ชเอนจิ้น ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว ถ้าคุณทำเป็นและทำถึง

การ ทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีจรรยาบรรณ โดยเฉพาะผู้ซื้อคือลูกค้าไม่เห็นตัวผู้ขาย ต้องซื่อสัตย์ไม่หลอกลวงลูกค้า ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมสร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภค

ธุรกิจขายตรง

อยากทำธุรกิจขายตรง ธุรกิจเครือข่าย สไตล์การทำแบบไม่ต้องทำ??

อยากทำธุรกิจขายตรง ธุรกิจเครือข่าย  สไตล์การทำแบบไม่ต้องทำ??
นั่นคือให้ระบบทำงานแทนเรา จะดีกว่าไหมถ้าระบบสามารถให้ข้อมูลรายละเอียดธุรกิจ ทั้งข้อมูลบริษัท สินค้า และแผนการตลาด ให้กับผู้มุ่งหวังแทนตัวเราเอง รวมทั้งระบบยังสามารถแนะนำวิธีการเริ่มต้นทำธุรกิจและคอยให้คำแนะนำต่างๆ เรียกว่าเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวเลยก็ว่าได้
หากคุณอยากทำธุรกิจขายตรงด้วย วิธีการที่ดีกว่า! ฉลาดกว่า! ได้ผลรวดเร็วกว่า! และเป็นการทำงานผ่านอินเตอร์เน็ตจริงๆ ติดต่อหาเรา ที่นี่เรามีคำตอบ!
 

ไอเดียเด็ดที่ผมแนะนำก็คือ ธุรกิจเครือข่าย = Google + MLM + Adsense

หากคุณพยายามหาธุรกิจเครือข่ายทำอยู่ล่ะก็ ...ห้ามพลาดวิธีนี้เด็ดขาด!! "ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว" ถ้าคิดจะทำทั้งที ทำ 1 อย่างแต่สามารถใช้ประโยชน์ได้พร้อมกันหลายอย่างจะดีกว่าไหม? ขั้นแรกคือ ทำเว็บแนะนำธุรกิจขึ้นมา 1 เว็บ บนเว็บเราก็เสนอทางเลือกเอาไว้หลากหลายตัวเลือก จากนั้นก็ทำให้เว็บไซต์นี้ติดอันดับใน Google ...หลังจากเว็บติดอันดับใน Google แล้ว ในหนึ่งวันจะมีผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์มากมาย รับประกัน!! ลูกค้าเพียบ!! คุณจะว่าอย่างไรถ้าทั้งหมดนี้เราได้เตรียมเอาไว้แล้ว!! คุณสามารถนำไปใช้ให้เกิดผลได้ในทันที!!
สมาชิกได้รับเว็บไซต์ธุรกิจขายตรง
ทีมงานช่วยปรับปรุงเว็บเพื่อ
ใช้เว็บสมาชิกเดิมสนับสนุนช่วย
สมาชิกได้รับเว็บไซต์ธุรกิจขายตรง
พร้อมใช้งานคนละเว็บ
ทีมงานช่วยปรับปรุงเว็บเพื่อ
ติดอันดับต้นๆ ใน
Google
ใช้เว็บสมาชิกเดิมสนับสนุนช่วย
ขยับอันดับเว็บธุรกิจขายตรงที่มาใหม่
     
      ผม ว่าในตอนนี้คุณคงอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมแล้วใช่ไหมครับว่า รูปแบบธุรกิจเครือข่ายที่ผมแนะนำนั้น ในแต่ละขั้นตอนมีวิธีการทำงานอย่างไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้ว ก็ขอให้อ่านหัวข้อถัดไปได้เลยครับ...
รูปแบบธุรกิจเครือข่ายของเราเป็นอย่างไร?
ถ้าสมัครธุรกิจเครือข่ายจะได้รับอะไรบ้าง?
ถาม-ตอบ
ทดลองระบบธุรกิจขายตรงฟรี!! 15 วัน

ธุรกิจร้านเบเกอรี่

พื้นฐานทั่วไปของการทำธุรกิจอะไรก็ตามต้องคำนึงถึง ฐานะทางเศรษฐกิจและความ นิยมของผู้บริโภคในทำเลนั้น ๆ ซึ่งถือเป็น เข็มทิศชี้บอกว่า ธุรกิจของคุณจะดำเนินไปในทิศทางใด จะมีผลกำไรมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจในเรื่องต่อไปนี้


การลงทุนเปิดร้านเบเกอรี่

ต้นทุน
หมายถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ได้สินค้ามา สำหรับกิจการที่ผลิตสินค้าเองนั้น ต้นทุนจะประกอบด้วย ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน และค่าโสหุ้ยการผลิต ส่วนกิจการที่ซื้อมาเพื่อขาย ต้นทุนของสินค้าได้แก่ ค่าสินค้าตามใบเสร็จและค่าขนส่ง


วัตถุดิบ
เป็นค่าใช้จ่ายหลักของสินค้า ซึ่งในกิจการเบเกอรี่นั้น ค่าวัตถุดิบของขนมปัง เช่น แป้ง เนย ไข่ นม น้ำตาล และอื่น ๆ ตามสูตร


ค่าแรง

หมายถึง เงินเดือน หรือค่าแรงที่จ่ายให้กับ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตขนมโดยตรง


โสหุ้ยการผลิต
คือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต นอกเหนือจากค่าวัตถุดิบและค่าแรง ซึ่งช่วยให้กระบวนการผลิตเสร็จสิ้นลง เช่น ค่าเสื่อมราคา ของเครื่องมือเครื่องใช้ ค่าเช่าอาคาร ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น
สำหรับการกำหนดราคาขายนั้น ต้องคำนึงถึง กำไรที่ต้องการ และภาษีที่ต้องเสียรวมเข้าไปด้วย


กลยุทธ์การบริหารในธุรกิจร้านเบเกอรี่
แนวทางการจัดจำหน่ายสินค้า ถือเป็นเรื่องของศิลปะที่ละเอียดอ่อน หลักการที่สำคัญคือ อย่างแรกต้องศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค และศึกษา ลักษณะการเดินซื้อสินค้าของลูกค้า ทั้งยังต้องพิจารณาชนิดของสินค้า แล้วจึงค่อยเริ่มวางแผนงานเป็นขั้นเป็นตอน แยกแยะ และจัดประเภทสินค้า หรือเบเกอรี่ของ คุณ ให้เป็นหมวดหมู่และตกแต่งโดยมีลูกเล่นในการใช้สีสรร นอกจากนี้ยังต้อง บรรจุ สินค้าที่จะขายอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งติดราคาให้ชัดเจน อาจประชาสัมพันธ์โดยใช้ป้ายบอก หรือมีสื่อโฆษณาอื่น ๆ และต้องไม่ลืม ตกแต่งร้านให้สะอาดและสวยงามอยู่เสมอ สำหรับในช่วงวันหยุดและเทศกาล เป็นโอกาสสำคัญที่เบเกอรี่ในร้านของคุณ จะเป็นที่ ปรารถนา ของลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง
การลงทุนเปิดร้านเบเกอรี่

รูปแบบของการจัดโชว์สินค้า

มี 2 ประเภท คือ

1. กรณีที่ลูกค้าบริการตนเอง
ต้องศึกษาการเดินซื้อของลูกค้า วางเบเกอรี่ที่เก็บได้นานที่สุดไว้ทางเดิน เล่นสีให้สะดุดตา จัดสินค้าเป็นหมวดหมู่ โดยวางสินค้า ในแนวตั้งและแนวนอน สินค้าที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก ควรจัดวางไว้ชั้นล่าง หาบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม ติดป้ายบอกราคา ทำประชาสัมพันธ์ จัดชั้นวางสินค้าใหม่ และต้องมีการหมุนเวียนผลิตภัณฑ์ในแต่ละช่วงเวลาทั้งเช้า กลางวัน เย็น เพื่อความไม่ซ้ำซากจำเจ

2. กรณีที่เราบริการลูกค้า ติดราคาสินค้า เลือกสีที่สดใน จัดให้เป็นหมวดหมู่อย่างสะอาดและมีระเบียบ วางสินค้าที่จูงใจไว้ชั้นบน และต้องวาง ให้เต็มชั้นอยู่เสมอ ควรวางสินค้าที่เก็บไว้ได้นานไว้ชั้นล่าง ใช้ภาชนะบรรจุที่เหมาะสม หากระดาษรอง หรือลูกไม้ มาตกแต่งสินค้า คอยให้คำแนะนำที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึง ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
การลงทุนเปิดร้านเบเกอรี่

ภาพพจน์ที่พรั่งพร้อม
การสร้างภาพลักษณ์ที่สวยหรูให้กับร้าน เบเกอรี่ ของคุณนั้นสามารถทำได้ไม่ยากเลย พึงระลึกอยู่เสมอว่าหัวใจสำคัญ ของการ ให้บริการ คือ ความพึงพอใจและความประทับใจของลูกค้า นอกเหนือจากทำเลที่ตั้งของร้าน คุณภาพของเบเกอรี่ที่ได้มาตรฐาน ภาชนะบรรจุ ความสดใหม่ สะอาด การตั้งราคาและป้ายแสดงราคาสินค้าแล้ว คุณยังจะต้องวางตัวเป็นกันเองอย่างเหมาะสม มีมิตรไมตรีจิตที่ดี สื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราจริงใจในการ ให้บริการ

รู้ซึ้งและเข้าใจในนานาเบเกอรี่
การทำเบเกอรี่ให้ออกมาได้คุณภาพดีดังใจปรารถนา ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ความสวยงามน่ารับประทาน และรสชาติที่ อร่อยถูกปากเป็น สิ่งที่ละเอียดอ่อน ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์ ความชำนาญ เทคนิคพิเศษ ในการทำ รวมถึงสูตร และ ส่วนผสม ที่สมดุล แต่เท่านี้ยังไม่พอ ไอเดียที่แปลกแหวกแนวก็สำคัญมาก การคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ให้ถูกใจผู้บริโภคก็เป็น อีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ ธุรกิจเบเกอรี่ ก้าวล้ำนำหน้าผู้อื่น ทั้งเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และมั่นคง ซึ่งผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้น หยิบจับงานเบเกอรี่ ก็อย่างเพิ่งหวาดหวั่น กังวล เพียงคุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ค่อย ๆ เรียนรู้และพัฒนาฝีมือไปเรื่อย ๆ เชื่อว่าคุณจะเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ประสบ ความสำเร็จ ในธุรกิจเบเกอรี่ได้ไม่ยากเลย

เมื่อคุณเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติจริงก็ควรศึกษาเรื่องการชั่งตวง ให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะการ ชั่งตวงที่ถูกต้องแน่นอน จะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ที่ คุณภาพเยี่ยม ตรงตามมาตรฐาน ซึ่งเครื่องมือเครื่องใช้ในการตวง ที่ควร จะทราบก็ได้แก่ ถ้วยตวงของแห้งมาตรฐาน ถ้วยตวงของเหลวมาตรฐาน ช้อนตวงมาตรฐาน และเครื่องชั่ง

การลงทุนเปิดร้านเบเกอรี่


คุกกี้
คุกกี้ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบ่งตามวัตถุดิบที่ใช้ มี 2 ชนิดคือ คุกกี้ที่มีไขมันเป็น ส่วนผสมหลัก และคุกกี้ที่มีไข่เป็นส่วนผสมหลัก ส่วนอีกประเภทก็ แบ่งตามวิธีการทำรูปร่าง ซึ่งมี 6 ชนิด ได้แก่ คุกกี้หยอด คุกกี้กด คุกกี้ปั้น คุกกี้คลึง คุกกี้แท่ง หรือคุกกี้บาร์ และคุกกี้แช่แข็ง
สำหรับส่วนผสมที่ใช้ในการทำคุกกี้นั้น แบ่งเป็น 2 จำพวก คือ
1. ส่วนผสมที่ทำให้คุกกี้นิ่มหรือแข็ง ได้แก่ แป้ง น้ำ ไข่ทั้งฟอง ไข่ขาว และนมผง
2. ส่วนผสมที่ทำให้คุกกี้นิ่ม ได้แก่ น้ำตาล ไข่แดง ไขมัน ผงฟู โซดา และแอมโมเนีย

กว่าจะมาเป็น...คุกกี้
ในขั้นตอนของวิธีการผสม คุกกี้ที่มีไขมันเป็นส่วนผสมหลัก ก่อนอื่นก็ต้องร่อนแป้งและผงฟูเข้าด้วยกัน จากนั้นตีเนยกับน้ำตาล โดยใช้ความเร็ว ปานกลาง จนกระทั่งส่วนผสมฟูเบา ค่อย ๆ ตีไข่ไก่ลงไปทีละฟอง ความเร็วปานกลางเท่าเดิมจนเข้ากันดี เติมส่วนผสม ของแป้งที่ร่อนกับผงฟู ตีด้วยความเร็วต่ำ หรือใช้พายยางคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็ทำรูปร่าง ใส่พิมพ์ และนำเข้าอบ

ส่วนคุกกี้ที่มีไข่เป็นส่วนผสมหลัก ก็มีวิธีการใกล้เคียงกัน โดยร่อนแป้งกับผงฟูเข้าด้วยกัน ตีไข่ไก่จนเป็นฟองหยาบ ๆ โดยใช้ความเร็วสูงสุด จึงค่อยเทน้ำตาลลงไป และตีต่อจนกระทั่งส่วนผสมฟูและข้นขาว เติมแป้งที่ร่อนผสมให้เข้ากัน จากนั้นก็ทำรูปร่าง ใส่พิมพ์ และนำเข้าอบโดยใช้ อุณหภูมิประมาณ 350-400 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 175-200 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับลักษณะของคุกกี้

การลงทุนเปิดร้านเบเกอรี่

อบอย่างไรให้อร่อย
คุกกี้แต่ละประเภทนั้นใช้อุณหภูมิในการอบแตกต่างกันไป ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อคุณภาพของคุกกี้ คือถ้าใช้ความร้อนสูงจนเกินไป เนื้อคุกกี้จะอัดแน่น ไม่แผ่ตัวและเสียรูปร่าง แต่ถ้าใช้ความร้อนต่ำเกินไป เนื้อคุกกี้จะแผ่ตัวแบนราบ

นอกจากนี้ควรจะแซะคุกกี้ ออกจากถาดในขณะที่ยังอุ่นอยู่ เพราะเนื้อจะไม่ติดถาด และควรพักไว้ที่อุณหภูมิต้องระวัง อย่าให้คุกกี้เย็นตัว เร็วจนเกินไป อาจทำให้เปราะ หรือแตกง่าย

หลังจากอบแล้ว ควรเก็บคุกกี้ไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท หรือพลาสติกกันความชื้น เพื่อคงความกรอบ และให้เก็บได้นาน หากคุกกี้นิ่ม เหนียวเนื่องจากดูดความชื้นเข้าไป อาจนำไปอบอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้กรอบอร่อย และคุกกี้ที่ บรรจุหีบห่อเรียบร้อยแล้ว ถ้าเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องที่เย็น โดยไม่โดนแดดหรือความร้อนจะเก็บไว้ได้เป็นอาทิตย์ แต่หากแช่แข็งจะเก็บไว้ได้นาน 6 - 12 เดือน

ขนมปัง
ขนมปังที่มีหลากหลายทั้งรูปร่าง และรสชาติ สามารถแยกย่อยออกตามปริมาณน้ำตาล และไขมัน ที่เป็นส่วนผสมได้ 4 ประเภท คือ ขนมปังผิวแข็ง ขนมปังจืด ขนมปังกึ่งหวาน ขนมปังหวาน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของขนมปัง ก็ได้แก่ แป้งสาลี ยีสต์ น้ำ และเกลือ

การหมักแป้ง ควรใช้อุณหภูมิประมาณ 75-85 ฟาเรนไฮต์ ระยะเวลาในการหมักก็ขึ้นอยู่กับวิธีการผสม หลังจากหมักได้ที่ก็นำไป รีดซึ่งโดย ผ่านเครื่องรีด เพื่อให้ก้อนแป้งเนียน และได้ขนมปังเนื้อละเอียด เมื่อปั้นแป้งเป็นก้อนกลมแล้วก็พักไว้ 10 นาที ก่อนที่จะนำไปม้วนทำรูปร่าง ควรวางขนมไว้ในที่มีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ รอให้แป้งขึ้น เป็นสองเท่าแล้วจึงนำเข้าอบ โดยปกติจะอยู่ที่อุณหภูมิประมาณ 380-425 ฟาเรนไฮต์ ขนมปังที่อบสุกแล้ว ควรวางทิ้งไว้ให้เย็นบนตะแกรง เพื่อไม่ให้เกิดความ ชื้นด้านล่าง เพราะจะทำให้เสียเร็ว ในส่วนของการบรรจุ หีบห่อนั้น นิยมใช้พลาสติกใส เพื่อยืดอายุการเก็บและป้องกันการสูญเสีย ความชื้นได้

เค้ก
เค้กแบ่งตามส่วนผสมหลักที่ใช้จะมี 2 ชนิด คือ เค้กที่มีไขมันเป็นส่วนผสมหลัก และเค้กที่มีไข่เป็นส่วนผสมหลัก เค้กที่มีไขมัน เป็นส่วนผสมหลัก นั้นมีวิธีการผสมอยู่ด้วยกัน 4 วิธี ดังนี้


  • การตีเนยกับน้ำตาล ต้องเริ่มด้วยการตีเนยกับน้ำตาลก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้สำคัญมาก หากตีเนยฟูได้ที่ เนื้อเค้กจะนุ่มกำลังดี จากนั้นก็ ค่อย ๆ เติมไข่ไก่ลงไป ทีละน้อย จนกระทั่งสุดท้ายจะเติมแป้งสลับกับของเหลว ผสมพอให้เข้ากันด้วยความเร็วต่ำสุดของเครื่อง
  • การตีเนยกับแป้ง
    วิธีนี้เหมาะกับเค้กที่มีปริมาณน้อย และมีส่วนผสมของน้ำตาลและ ในปริมาณที่มากกว่าแป้ง ซึ่งวิธีการทำ ก็โดยการผสม แป้งกับไขมันให้เข้ากัน และเติมส่วนผสมของแป้งอื่น ๆ ลงไป เติมไข่และของเหลวเพียง 1 ใน 4 แล้วจึงเติมส่วนผสมที่เหลือลงไป รอจนส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
  • การผสมแบบขั้นตอนเดียว
    วิธีนี้ใช้กับแป้งเค้กสำเร็จรูป หรือสูตรที่มีการเติมอิมัลติไฟเออร์เข้าไป เนื่องจากเป็นการผสมส่วนผสม ทั้งหมดเข้าด้วยกัน
  • การผสมน้ำตาลกับน้ำ
    โดยการใช้เครื่องจนน้ำตาลละลาย จึงค่อยเติมแป้ง นมผง เกลือ ผงฟู เนย ซึ่งเป็นส่วนผสมที่เป็นของแห้งทั้งหมดลงไป ค่อยตีจนขึ้นฟู แล้วจึงเติมไข่ลงไป
เค้กที่มีไข่เป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด
  • แองเจิ้ลฟู้ด มีวิธีการทำโดยนำไข่ขาวมาตีกับน้ำตาล จนไข่ขาว ตั้งยอดแข็ง จึงเป็นเค้กที่ขึ้นฟู ด้วยไข่ขาว หากเติมครีม ออฟ ทาร์ทาร์ ด้วยจะได้เนื้อเค้กที่ ขาวละเอียด หลังจากนั้นจึง เติมน้ำตาล และเทใส่พิมพ์
  • สปันจ์เค้ก ใช้ไข่ทั้งฟอง หรืออาจใช้เฉพาะไข่แดงก็ได้ วิธีการทำคือ ตีไข่กับน้ำตาลจน ข้นขาว และเนื้อเนียนละเอียด จากนั้นเติมส่วนผสมของแป้งคนให้เข้ากัน แล้วจึงเติมของเหลว
  • ชิฟฟ่อนเค้ก แยกไข่แดงกับไข่ขาวก่อน แล้วผสมไข่แดงกับแป้ง ผงฟู น้ำตาล เกลือ น้ำมันพืช และของเหลว คนจนกระทั่ง เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นจึงกลับมาที่ไข่ขาวที่แยกไว้ ให้ตีไข่ขาว ครีมออฟทาร์ทาร์ กับน้ำตาล จนเป็นฟอง ตั้งยอดแข็ง แล้วจึง ผสมส่วน ผสม ที่ได้ในตอนแรกลงไป คนจนเข้ากันดี
ที่มา ThaiFranchiseCenter.com

อ้างอิง http://brightlives.th.88db.com/business/Franchise/franchisee_011.htm


ธุรกิจร้านจัดดอกไม้

ธุรกิจ ร้านดอกไม้ จัดดอกไม้ ส่งดอกไม้

ร้านดอกไม้

ธุรกิจ ร้านดอกไม้ จัดดอกไม้ ส่งดอกไม้

มีคนเคยอ้างว่า เปิดร้านดอกไม้ สร้างเงินล้าน รวยได้ทุกเทศกาล จริงหรือไม่นั่นลองมาดูกันนะครับ

รายละเอียด

ผู้ประกอบธุรกิจขายดอกไม้จำนวนไม่น้อย ต่างประสบปัญหาเรื่องการบริหารปริมาณและระยะเวลาการเก็บรักษาดอกไม้ภายใน ร้าน ให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า เนื่องจากเมืองไทยมีสภาพอากาศร้อน จึงส่งผลให้ดอกไม้มีอายุการเก็บรักษาที่สั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ประกอบการจึงไม่ควรสั่งซื้อดอกไม้มาไว้ในปริมาณมากเกินไป

โดยทั่วไป ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะสั่งซื้อดอกไม้ล่วงหน้า แต่มีอยู่หลายรายที่เดินเข้าไปในร้าน แล้วสั่งซื้อดอกไม้เลย จุดนี้เป็นเป็นปัญหาใหญ่ในการบริหารสินค้า เพราะถ้าผู้ประกอบการสั่งซื้อดอกไม้ไว้มากจนเกินไป จะทำให้ดอกไม้ไม่สดและเน่าเสียได้ เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ประกอบการ แต่ถ้าผู้ประกอบการสั่งซื้อดอกไม้ไว้ไม่เพียงพอกับความต้องการ ก็ทำให้เกิดปัญหาได้อีกเช่นกัน

เทคนิคการบริหารสินค้าในร้านดอกไม้

คุณอรพินธ์ เจริญรัฐ เจ้าของร้านดอกไม้พวงทอง กล่าวถึงเทคนิคการบริหารสต็อกของดอกไม้ นั่นคือ ควรสั่งซื้อดอกไม้จากตัวแทนขายหลายๆ คนให้มาส่งทุกสัปดาห์ เพราะผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบว่า ดอกไม้ที่ต้องการใช้อย่างพอเหมาะมีปริมาณเท่าใด เพื่อป้องกันปัญหาดอกไม้เสียหายได้

ข้อคิดสำหรับผู้ประกอบธุรกิจร้านดอกไม้

คุณสมบัติของผู้ประกอบการร้านดอกไม้ คือจะต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง พัฒนาความคิดตลอดเวลา โดยการศึกษาจากหนังสือ หรือไปดูงานตามสถานที่จัดนิทรรศการที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงหมั่นเข้าร้านดอกไม้ และสังเกตหาข้อมูลว่า ร้านดอกไม้อื่นทำกันอย่างไร ผู้ประกอบการพึงระลึกไว้เสมอว่า ผู้จัดดอกไม้ที่ดีควรใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบทุกชิ้น ให้มีคุณค่าสูงสุด และไม่เหลือทิ้งโดยเปล่าประโยชน์

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร ร้านดอกไม้

เนื่องจากลูกค้ามีโอกาสที่จะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการได้จาก ร้านดอกไม้ หลายแห่ง ดังนั้นธุรกิจ ร้านดอกไม้ ต้องหันมาพัฒนาคุณภาพและรูปแบบของสินค้า และบริการของตนเองอยู่ตลอดเวลา ตามสภาพแวดล้อม และ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะดำรงอยู่ในธุรกิจ ร้านดอกไม้ นี้ได้ตลอดไป

อ้างอิง http://www.koratsale.com/201102162159/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89.html

ธุรกิจร้านอาหาร

การจัดตั้งธุรกิจร้านอาหาร
        ธุรกิจร้านอาหารถือเป็นธุรกิจที่ใช้เวลาทำการประมาณ 10 - 15 ชั่วโมงต่อวัน ผู้ประกอบการจำต้องหมั่นพัฒนาและปรับปรุงสม่ำเสมอในด้านฝีมือการปรุงอาหาร การจัดเสนออาหาร การบริการ การจัดการต้นทุน การจัดเก็บวัตถุดิบ การถนอมอาหาร การจัดจ้างพนักงาน การตลาด และการประชาสัมพันธ์  อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงกฏหมายต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบอนุญาตประกอบการ ใบอนุญาตการจัดซื้อ หรือเช่าซื้อสถานที่ประกอบการ
    ประเภทธุรกิจร้านอาหาร แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ
    1. ร้านอาหาร Traditional - มักจะเป็นอาหารหลากหลายประเภท กลุ่มลูกค้าหลากหลาย
    2. ร้านอาหาร Ethnic - จะเน้นอาหารประจำท้องถิ่น ประเทศต่างๆ
    3. ร้านอาหาร Specialty - จะเน้นอาหารที่มีการจัดเตรียมแตกต่างจากอาหรทั่วไป เช่น มังสวิรัต
    4. ร้านอาหาร Coffee Shop - จะเน้นอาหารว่าง และเครื่องดื่มเป็นหลัก
    5. ร้านอาหาร Fast Food - มักจะเป็นอาหารที่จัดเตรียมง่าย ใช้เวลาน้อย เมนูจำกัด นิยมจัดการในรูปแบบ Franchise
    6. ร้านอาหาร Cafeteria - มักจะเป็นอาหารที่จัดเตรียมมาแล้ว ผู้บริโภคมีจำนวนมาก
    7. ร้านอาหาร Self-Serve - มักจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ไม่มีพนักงานเสริฟ ลูกค้ามักจะบริการตัวเอง

    สิ่งที่ควรคำนึงในการการจัดตั้งธุรกิจร้านอาหาร
    1. Licenses เช่น ใบประกอบการธุรกิจท้องถิ่น ใบประกอบการธุรกิจอาหาร ใบประกอบการดนตรี ใบประกอบการเครื่องดื่ม เป็นต้น
    2. Permits เช่น ใบอนุญาตค้าขาย ใบอนุญาตอาคารสถานที่
    3. Regulations เช่นกฏระเบียบเกี่ยวกับสุขอนามัย (Health Regulations) กฏระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัย กฏระเบียบเกี่ยวกับภาษี  การจัดแบ่งพื้นที่ทำการ (Zoning by-laws)  กฏหมายว่าด้วยอาหารและยา  กฏระเบียบการควบคุมการสูบบุหรี่ เป็นต้น
      การขอใบอนุญาตประกอบการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
            (Food-Primary Licence Restaurants)
* การขอใบอนุญาตดังกล่าวนี้จะเน้นสำหรับจังหวัด British Columbia เป็นหลัก
       ใบ อนุญาตประเภทนี้เหมาะสำหรับร้านอาหารที่เน้นขายอาหารเป็นหลัก และอนุญาตให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นรายได้เสริม  โดยร้านอาหารจะขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ทุกประเภทให้ลูกค้าแต่จะต้องขาย พร้อมกันกับอาหาร 
สำหรับร้านอาหารที่มีขนาด 50 ที่นั่งหรือมากกว่าสามารถจัดแบ่งบริเวณแยกต่างหาก (Lounge) และขอใบอนุญาตขายแต่เฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้
ร้านอาหารอาจจะเปิด บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถขายได้ในช่วง 9:00 - 4:00 นาฬิกาเท่านั้น (การเปิดให้บริการในเวลากลางคืน หรือหลังเที่ยงคืน ผู้ประกอบการจะต้องขออนุญาตจากภาครัฐท้องถิ่นก่อน)  ร้านอาหารที่มี Food-Primary Licence นี้สามารถเปิดให้บริการกับเด็กๆได้

ธุรกิจร้านอาหารที่ไม่สามารถขอ Food-Primary Licence ได้มีดังต่อไปนี้
1. ร้านอาหารที่อยู่ในศูนย์อาหาร (Mall Food Fairs)
2. ร้านอาหารที่เน้นการขายโดยลูกค้าโทรมาสั่ง และนำกลับไปทานนอกร้าน
3. ร้านอาหารที่เน้นการรับจัดเลี้ยง โดยไม่มีห้องครัวประกอบอาหาร
4. ร้านอาหารเคลื่อนที่ หรือรถเข็น



ขั้นตอนในการขอใบอนุญาต Food-Primary Licence
มีดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 หลักเกณฑ์พิจารณาว่าผู้ประกอบการมีสิทธิ์ในการขอใบอนุญาตหรือไม่1. ผู้ประกอบการจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 19 ปี
2. ผู้ ประกอบการจะต้องพำนักอยู่ในท้องถิ่น (British Columbia) เป็นสัญชาติแคนาดา (Canadian) หรือเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร (Permanent Resident) ในแคนาดา  หากเป็นธุรกิจประเภทนิติบุคคล และผู้ประกอบการไม่ได้อยู่ในท้องถิ่นนั้น  ผู้ประกอบการจะต้องแต่งตั้งผู้จัดการร้านขึ้น (Resident Manager)
ผู้ ประกอบการหรือผู้จัดการร้าน (Resident Manager) จะต้องยื่นใบประวัติอาชญากรรม (Criminal Record) หากผู้ประกอบการเคยมีใบอนุญาต Food-Primary Licence มาก่อน และมีประวัติบันทึกการบริหารงานที่ไม่ดี ก็อาจทำให้การอนุมัติครั้งใหม่นี้ยากขึ้น

ขั้นตอนที่ 2  เอกสารต่างๆที่ต้องเตรียม1. ใบสมัครขออนุญาต Food-Primary Licence
2. แบบวาดแผนผังร้านอาหาร*
3. ใบประวัติอาชญากรรม (Criminal Record)
4. ค่าธรรมเนียมโดยประมาณ CAD$ 475 (non refundable)
5. สำเนาใบขับขี่ หนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวอื่นๆ
6. สำเนาเมนูอาหาร
7. รายการเครื่องใช้ในครัวต่างๆที่ใช้งาน รวมถึงจาน ชาม ช้อน ส้อม มีด
8. ตัวอย่างรูปแบบป้ายร้านอาหาร
* แผนผังร้านอาหาร – จะต้องแสดงในอัตราส่วนย่อขนาดที่ถูกต้อง แสดงจำนวนผู้เข้าใช้บริการได้มากที่สุดกี่คน และได้รับการอนุมัติรับรองจากสถานีตำรวจดับเพลิงประจำท้องที่นั้น

หาก ผู้ประกอบการต้องการเปิดให้บริการหลังเที่ยงคืน หรือให้บริการความบันเทิงต่างๆ เช่น เต้นรำ หรือร้องเพลงคาราโอเกะ จะต้องได้รับอนุญาตจากภาครัฐส่วนท้องถิ่นด้วย

ใน British Columbia In ผู้ประกอบการร้านอาหาร หรือพนักงานอย่างน้อย 1 คนจะต้องมีใบประกาศนียบัตร FOODSAFE และ Serving It Right Certificate ด้วย

ขั้นตอนที่ 3  ค่าธรรมเนียมต่างๆ
นอก เหนือจากค่าธรรมเนียมโดยประมาณ CAD$ 475 (non refundable) แล้ว เมื่อได้รับการอนุมัติผู้ประกอบการจะต้องเสียค่าธรรมเนียมประจำปีสำหรับปี แรก CAD$ 475 ส่วนในปีต่อๆไปค่าธรรมเนียมจะแตกต่างขึ้นอยู่กับจำนวนแอลกอฮอล์ที่สั่งซื้อ ในปีนั้นๆ
จำนวนแอลกอฮอล์ที่สั่งซื้อต่อปี
ค่าธรรมเนียม
$12,500 หรือน้อยกว่า
$275
มากกว่า $12,500 แต่ไม่เกิน $20,000
$550
มากกว่า $20,000 แต่ไม่เกิน $45,000
$825
มากกว่า $45,000 แต่ไม่เกิน $100,000
$1100
มากกว่า $100,000 แต่ไม่เกิน $250,000
$1200
มากกว่า $250,000
$1400
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมสามารถค้นหาเพิ่มเติมได้ที่ www.hsd.gov.bc.ca/lclb/docs-forms/LCLB010.pdf หากผู้ประกอบการขอต่ออายุ Food-Primary Licence หลังจากที่หมดอายุแล้วแต่ไม่เกิน 30 วัน จะถูกปรับ $200 แต่หากเกิน 30 วันแล้วการขอต่ออายุ Food-Primary Licence อาจถูกปฏิเสธได้
ขั้นตอนที่ 4  ใบสมัครขออนุญาต Food-Primary Licenceแบบฟอร์มใบสมัครขออนุญาต Food-Primary Licence สามารถขอได้จาก Liquor Control and Licensing Branch Head Office หรือดาว์โหลดได้จาก www.hsd.gov.bc.ca/lclb/docs-forms/LCLB001B.pdf
แบบฟอร์มใบประวัติอาชญากรรม (Criminal Record) สามารถดาว์โหลดได้จาก www.hsd.gov.bc.ca/lclb/docs-forms/LCLB004.pdf และ www.hsd.gov.bc.ca/lclb/docs-forms/GR3584.pdf หากผู้ประกอบการพำนักอยู่นอกประเทศแคนาดาแต่เคยอยู่ในประเทศไม่เกิน 5 ปี หรือเคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อนจะต้องยื่นแบบฟอร์ม Statutory Declaration ซึ่งต้องได้รับการรับรองจากทนายความ Notary Public หรือ Commissioner for Taking Affidavitsโดยตัวอย่างสามารถดาว์ โหลดได้จาก www.hsd.gov.bc.ca/lclb/docs-forms/SampleStatutoryDec.rtf
ขั้นตอนที่ 5  ขั้นตอนการพิจารณาเมื่อผู้ประกอบการได้ยื่นใบขออนุญาตจดทะเบียน Food-Primary Licence แล้ว ขั้นตอนการพิจารณาแบ่งออกดั้งนี้
1. ทาง Liquor Control and Licensing Branch จะตรวจสอบเอกสารต่างๆว่าครบถ้วนหรือไม่  หากไม่ครบถ้วนเอกสารทุกอย่างจะถูกส่งกลับมาพร้อมจดหมายแจ้งว่าเอกสารชุดใด บ้างที่ผู้ประกอบการจะต้องส่งเพิ่มเติม
2. เมื่อเอกสารครบถ้วนแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จะพิจารณาดูว่าผู้ประกอบการมีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดหรือไม่ หากคุณสมบัติตรงตามที่กำหนด ผู้ประกอบการจะได้รับจดหมายแจ้งให้ติดต่อ Local Liquor Inspector เพื่อทำการตรวจสอบสถานที่ประกอบการภายใน 30 วัน  Local Liquor Inspector จะตรวจดูชื่อร้าน และป้ายชื่อร้านให้ถูกต้องตามกำหนด
3. ผู้ประกอบการ หรือหนึ่งในผู้ถือหุ้น หรือผู้จัดการร้านจะต้องแสดงตัวขณะที่เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบสถานที่ประกอบ การ  และจะต้องเตรียมแบบวาดแผนผังร้านอาหารขนาดใหญ่หนึ่งชุด ขนาดเล็กหนึ่งชุด (8.5” x 11”) และ สำเนา Serving It Right Certificate
4. ทาง Liquor Control and Licensing Branch จะประเมินผลจากตรวจสอบทุกอย่างรวมถึงเอกสารการจดทะเบียนผู้เสียภาษี และออกใบ Food-Primary Licence ในที่สุด



อ้างอิง http://www.thaicongenvancouver.org/cms/index.php?option=content&task=view&id=280

ธุรกิจสปา

แผนธุรกิจสปา

แผนธุรกิจสปาสภาพ ตลาดปัจจุบัน วิธีการดูแลสุขภาพและการผ่อนคลายความเครียด สภาพเศรษฐกิจสังคมและการแข่งขันเชิงธุรกิจในปัจจุบันก่อให้เกิดความเครียด และปัญหาด้านสุขภาพไม่ว่าจะอยู่ในสถานะภาพของเจ้าของกิจการหรือลูกจ้างเองก็ ตาม จึงเป็นเหตุผลให้ผู้บริโภคเริ่มสนใจและเอาใจใส่ดูแลและรักษาสุขภาพอย่างจริง จังเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคเหล่านี้มีทางเลือกที่จะดูแลสุขภาพ และมีวิธีการผ่อนคลายได้หลายรูปแบบ เช่น การเข้าศูนย์กีฬา วิ่ง และเต้นแอโรบิคตามสวนสาธารณะ การฝึกโยคะ การไปดูหนังหรือเดินซื้อของตามห้างสรรพสินค้า แต่วิธีการผ่อนคลายที่กำลังมาแรงและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายคือ การเข้ามาใช้บริการในสปา ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้บริโภคคลายความเครียดแล้ว การบริการบางประเภทในสปายังเป็นการเสริมสุขภาพให้แข็งแรงอีกด้วย


แต่เนื่องจาก 1 – 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจสปาที่เปิดให้บริการส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงแรมและรีสอร์ทตามสถานที่ท่อง เที่ยว ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนไม่สะดวกที่จะไปใช้บริการ นอกจากนี้ อัตราค่าบริการของบรรดาธุรกิจสปาซึ่งตั้งอยู่ในโรงแรมและรีสอร์ทดังกล่าวก็ มีราคาที่สูงมาก ทำให้เป็นอุปสรรคของสถานบริการเหล่านี้ที่ต้องมุ่งการทำตลาดเป้าหมายของตนไป ที่ผู้บริโภคระดับสูงเท่านั้น ดังนั้นถ้ามีบริการสปาที่เปิดแบบสแตนอโลนเพิ่มมากขึ้นและมีอัตราค่าบริการ ปานกลาง ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและต้องการใช้บริการ


 

ลักษณะธุรกิจ
 

1. วิสัยทัศน์
นำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ โดยมุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจและเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าทุกคนที่เข้ามาใช้บริการ


2. ภารกิจ
กำหนดภารกิจ ด้วยสินค้าและบริการหลักๆ ดังนี้
a164- บริการนวด
- แบบแผนไทย และแบบอะโรมาเธอราพี
- นวดหน้าและฝ่าเท้า
- นวดบำบัด
- บริการเสริมความงาม
- อบผิว
- ขัดผิว
- สิ่งอำนวยความสะดวกและผ่อนคลาย
- อ่างน้ำจากุซซี่ และอ่างน้ำเย็น
- ห้องอบซาวน่า และห้องอบไอน้ำ
- การให้คำแนะนำในการดูแลรักษาสุขภาพ
- ผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติ
- น้ำมันหอมกลิ่นต่างๆ
- สมุนไพรประคบ


3. เป้าหมายการดำเนินงาน
- สร้างยอดขายประมาณ 13 ล้านบาท ภายในปี 2547
- มีผลกำไรสุทธิประมาณร้อยละ 22 ในปี 2547

ปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ

ในสภาพตลาดที่มีการแข่งขันที่รุนแรง การดำเนินธุรกิจสปาเพื่อให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายนั้นต้องมีกลยุทธ์ ทางการตลาดที่ดีและอาศัยปัจจัยที่สำคัญคือ
1. มีทำเลที่ตั้งของสถานที่ที่เดินทางไปมาได้สะดวก และสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย
2. มีสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดี เช่น ให้บริการคำแนะนำดูแลสุขภาพที่ถูกต้องให้กับผู้มาใช้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจและสร้างลูกค้าให้เกิดความจงรักภักดี
3. มีจุดเด่นที่เป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
4. มีความพร้อมด้านบุคลากร
5. กิจกรรมทางการตลาดที่ต้องตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก
6. มีการปรับปรุงสถานที่หรือพัฒนาสินค้าและบริการให้ทันต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

เนื่องจากตลาดสปามีการแข่งขันสูง ดังนั้นการดำเนินธุรกิจจึงต้องมีการวางแผนและกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดอย่าง รอบคอบชัดเจน และมีประสิทธิภาพ ซึ่งหนึ่งในกระบวนการดังกล่าวคือ การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถวางแผนการตลาดต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กลยุทธ์ด้านราคาหรือสินค้าและบริการ และเนื่องจากตลาดสปาจัดว่าเป็นธุรกิจใหม่ซึ่งยังมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ไม่ รู้จักว่าสปาคืออะไรและมีบริการอะไรบ้าง ดังนั้นด้วยเงินงบประมาณที่จำกัดจึงต้องมีการวางแผนการลงทุนให้มีประสิทธิผล สูงสุด นั้นก็คือต้องเน้นการลงทุนไปที่เฉพาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเท่านั้น มิฉะนั้นจะทำให้การลงทุนไม่ได้ผลตามที่ต้องการ เสียเวลาและเสียโอกาสในการทำตลาด

อ้างอิง http://www.spamassagethai.com/menuspa/43-bussiness-spa/215-spabusiness.html

ธุรกิจผลิดบัตรพลาสติก


          MASS CARD SET ชุดผลิตบัตรพลาสติก เริ่มต้นเพียง 9,900 บาท เท่านั้น สำหรับงาน ผลิตบัตรพลาสติก บัตรพีวีซี บัตรพนักงาน บัตรสโมสร บัตรสมาชิก บัตรเครดิต บัตรส่วนลด บัตรท่องเที่ยว ฯลฯ ต้นทุนเพียงไม่เกิน 10 บาท แต่ขายได้ถึง 50-60 บาท กำไร กว่า 700% และสามารถกำหนดราคาขายได้เองตามความเหมาะสมของชิ้นงานและสถานที่ กันน้ำ กันรอยขีดข่วน 100% พิมพ์ 2 ด้านหน้า-หลัง เงางาม สามารถผลิตเป็นบัตรธรรมดา บััตรเงิน บัตรทอง บัตรวีไอพีได้ และ สามารถ พิมพ์อักษรนูนได้(บัตรเครดิต) เคลือบอักษร เงิน ทอง สีรุ้งได้ ใส่บาร์โค้ด ใส่แถบแม่เหล็กได้ (บัตรแพลตตินั่ม) (ออฟชั่นเสริม)
        ธุรกิจบัตรพลาสติกของแมส ครอบคลุมทั้ง 2 ระบบการผลิตแนวใหม่ โดยลูกค้าสามารถเลือกที่จะลงทุนในระบบใดก็ได้ ซึ่งทั้ง 2 ระบบ คือ ระบบเคลือบความร้อน และระบบอบด้วยความร้อน มีคุณสมบัติและกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน แต่คุณภาพที่ออกมาไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่คงไว้ซึ่งความง่ายในการผลิตและความสวยงามของบัตรเมื่อผลิตเสร็จแล้ว
        บัตรของแมส คุณภาพสูง นำเข้าจากไต้หวัน โรงงานที่ได้รับมาตรฐาน ISO9001 บัตรจึงสวยงามคงทน ทำงานง่าย ที่สำคัญไม่มัว ของแท้100% ซึ่งแมสนำเข้าบัตรชนิดนี้มาตั้งแต่เริ่มธุรกิจ (ประมาณ 3 ปีมาแล้ว) จึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าตลอดมา
ตัวอย่างบัตรชนิดต่างๆ

อ้างอิง http://www.massbuss.com/pro-card.htm

ธุรกิจผลิตเข็มกลัด


ชุดเริ่มต้น
9,900 บาท
ชุดกลาง
19,900 บาท
ชุดใหญ่
29,900 บาท




        MASS BADGE SET ชุดธุรกิจผลิตเข็มกลัด เพียง 9,900 บาท สำหรับงาน ผลิตเข็มกลัด ประยุกต์เป็นเข็มกลัดแฟชั่น เข็มกลัดรายชื่อพนักงาน เข็มกลัดที่ระลึก เข็มกลัดกรุ๊ปทัวร์ เข็มกลัดท่องเที่ยว เข็มกลัดติดตู้เย็น เข็มกลัดแม่เหล็ก เข็มกลัดกระจกส่องหน้า เข็มกลัดสายคล้องคอ เข็มกลัดที่เปิดขวดน้ำอัดลม เข็มกลัดตุ๊กตาแฟนซี ฯลฯ ต้นทุนเพียงไม่เกิน 9 บาท แต่ขายได้ถึง 50-60 บาท กำไร กว่า 700% และสามารถกำหนดราคาขายได้เองตามความเหมาะสมของชิ้นงานและสถานที่ กันน้ำเพราะหุ้มด้วย PVC เงางาม สามารถผลิตได้ 3 ขนาด (แม่พิมพ์มี 7 ขนาด แต่เป็นที่นิยมในไทยเพียง 3 ขนาด)
        ด้วยเครื่อง BADGE Press พร้อม แม่พิมพ์ MOULD ขนาด 58 mm นำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมระบบเปลี่ยนแม่พิมพ์ด้วยมือเปล่า สามารถทำงานได้ง่าย เพียงคนเดียว สามารถผลิตได้ กว่า 1000 ชิ้นต่อวัน ด้วยน้ำหมึกอิงค์เจ็ทและเครื่องปริ้นเตอร์ธรรมดาๆทั่วไปที่หาซื้อได้ตามท้อง ตลาดหรือศูนย์ไอที พิมพ์ลงบนกระดาษ A4 หรือกระดาษอิงค์เจ็ท จากนั้นนำเข้าเครื่องก็ได้ชิ้นงานที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สำคัญ ไม่มีความรู้ด้านโปรแกรมออกแบบก็ทำได้ ด้วยโปรแกรม MASS BADGE V1.0 (ลิขสิทธิ์เฉพาะของเรา แถมฟรีมูลค่ากว่า 20000 บาท) เรียนรู้เร็วเพียง 1-2 ชั่วโมงก็ใช้งานได้ทันที พร้อมคอสอบรมการใช้เครื่อง การใช้โปรแกรม การบำรุงรักษา การตลาดและช่องทางการขาย ที่สำคัญ แมสให้ วัสดุในการผลิต ถึง 6 รูปแบบ อาทิเช่น เข็มกลัด พวงกุญแจ ตุ๊กตา ที่เปิดขวด กระจกส่องหน้า สายคล้องคอ ฯลฯ
ใหม่ล่าสุด IMPORT เข้ามาแล้ว เข็มกลัด วงรี และเข็มกลัดสี่เหลี่ยม รีบด่วน ยังไม่มีคู่แข่ง

VIDEO---->>>

อ้างอิง http://www.massbuss.com/pro-badge.htm

ธุรกิจพิมพ์ภาพลงวัสดุ

 MASS PRESS กลุ่มธุรกิจ พิมพ์ภาพลงวัสดุ เป็นกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับการ พิมพ์ภาพลงบนวัสดุชนิดต่างๆ โดยอาศัยเครื่องให้ความร้อน ที่ให้อุณหภูมิสูงถึง 200-300 องศาเซลเซียส ในเวลา 30-60 วินาที สามารถพิมพ์ลงบนวัสดุต่างๆได้ เช่น ผ้า เส้นใยต่างๆ โลหะ พลาสติก ไม้ ฯลฯ ทั้งแบบผิวเรียบหรือผิวโค้ง โดยเน้นไปที่การสร้างงานในรูปแบบเฉพาะ เช่น พิมพ์ภาพครอบครัวลงบนเสื้อ พิมพ์ภาพคนรักลงบนแก้ว พิมพโลโก้ลงบนแผ่นโลหะ เป็นต้น
1.ธุรกิจ พิมพ์ภาพลงบนทุกวัสดุ
เช่น เสื้อ ผ้า โลหะ เหล็ก แสตนเลส ทองเหลือง อลูมิเนียม สังกะสี ทองแดง เน็คไทส์ ไวนิล อะครีลิค กระดาษ แม่เหล็ก แผ่นรองเม้าท์ จิ๊กซอว์ กระเบื้อง พวงกุญแจ เซรามิค โล่รางวัล ฯลฯ ซึ่งภาพที่ติดลงบนวัสดุนั้น จะมีความทน ต่อน้ำ แสงแดด รอยขีดข่วน เพราะภาพที่พิมพ์ลงไปนั้น เป็นเสมือนเคลือบซึมลงไปในเนื้อวัสดุเลยทีเดียว เริ่มต้นเพียงหลักหมื่น และในขณะที่อื่นขาย แสนกว่าบาท อุปกรณ์ครบเซท เครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่ 38 x38 ซม. 2000 วัตท์ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท และอุปกรณ์กว่า 200 ชิ้น เรียกว่าผู้ประกอบการมีเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็ประกอบธุรกิจได้ทันที ซึ่งแต่ละรูปแบบนั้น กำไรกว่า 200% ขึ้นไปเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น พิมพ์ภาพลงบน พวงกุญแจ ต้นทุนอยู่ที่ 50 บาท ขายชิ้นละ 250 บาท กำไรถึง 400% พร้อมซอฟแวร์ลิขสิทธิ์ ในการออกแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมออกแบบมาก่อนก็ทำได้ และอบรมการใช้โปรแกรมและการใช้งาน ฟรี คลิ๊กดูรายละเอียด
2.ธุรกิจ พิมพ์ภาพลงบนเสื้อ และ งานผ้าทุกชนิด
ผ้า ปลอกหมอน หมอนข้าง เสื้อจิ๋ว ฯลฯ ที่เป็นเส้นใย ธรรมชาติ (COTTON) ใยสังเคราะห์ (POLYESTER) และใยผสม (TC TK)โดยใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์ภาพลงบน PVC TRANSFER ด้วยน้ำหมึกอิงค์เจ็ทธรรมดาที่หาซื้อได้ทั่วไป นำมาพิมพ์โดยใช้เครื่องเพรสของเรา ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 38 x 38 ซม. เพียง 7-10 วินาที ก็ได้ชิ้นงานที่สมบูรณ์ ต้นทุนเพียงประมาณ 60 บาท แต่สามารถขายได้ถึง 199 บาท เรียกว่ากำไร 230% เลยทีเดียว ที่สำคัญ ธุรกิจนี้ เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนเพียง หมื่นต้นๆ เท่านั้น ในขณะที่อื่นทำได้ไม่ครบทุกระบบ แค่เปลี่ยนลาย เปลี่ยนภาพ ก็ได้สินค้าชิ้นใหม่ไม่เหมือนใคร ขายได้ไม่มีที่สิ้นสุด ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกแบบลายได้ จึงทำให้ได้ราคาดี และยังสามารถพิมพ์สติ๊กเกอร์ขนาดใหญ่ได้อีกด้วย พร้อมซอฟแวร์ลิขสิทธิ์ ในการออกแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมออกแบบมาก่อนก็ทำได้ และอบรมการใช้โปรแกรมและการใช้งาน ฟรี คลิ๊กดูรายละเอียด
4.ธุรกิจ พิมพ์ภาพลงบนถ้วย
แก้วน้ำ กระป๋อง แจกัน ฯลฯ มีหลากหลายวัสดุ เช่น ถ้วยดนตรี ถ้วยเปลี่ยนสี กระป๋องสุญญากาศ ฯลฯ เหมาะแก่งานพรีเมี่ยม ต้นทุนเพียง 50-60 บาท แต่ขายได้สูงถึง 199-250 บาท เริ่มต้นเพียง สองหมื่นกว่าบาทเท่านั้น พร้อมซอฟแวร์ลิขสิทธิ์ ในการออกแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมออกแบบมาก่อน ก็ทำได้ และอบรมการใช้โปรแกรมและการใช้งาน ฟรี คลิ๊กดูรายละเอียด
5.ธุรกิจ พิมพ์ภาพลงบนจาน
เหมาะสำหรับ แหล่งท่องเที่ยว งานอีเว้นท์ต่างๆ สร้างเป็นของที่ระลึก สวยงาม ทนต่อแสงแดด น้ำ และรอยขีดข่วน กำไรสูง ลงทุนเพียง หมื่นต้นๆเท่านั้น ก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ทันที พร้อมซอฟแวร์ลิขสิทธิ์ ในการออกแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีความรู้ด้าน โปรแกรมออกแบบมาก่อนก็ทำได้ และอบรมการใช้โปรแกรมและการใช้งาน ฟรี คลิ๊กดูรายละเอียด
6.ธุรกิจ พิมพ์ภาพลงบนหมวก
สำหรับ แหล่งท่องเที่ยว งานสัมมนา งานกรุ๊ปทัวร์ งานสังสรรค์ประจำปี สินค้าท่องเที่ยว ฯลฯ ชิ้นเดียวก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องสั่งเป็นจำนวนมาก จึงได้ราคาที่สูง ในขณะที่ต้นทุนไม่เกิน 30 บาทเท่านั้น พร้อมซอฟแวร์ลิขสิทธิ์ ในการออกแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีความรู้ด้านโปรแกรมออกแบบมาก่อนก็ทำได้ และอบรมการใช้โปรแกรมและการใช้งาน ฟรี คลิ๊กดูรายละเอียด
หมายเหตุ : พิมพ์ภาพลงบนเสื้อและผ้า มี 6 ระบบหลััก 15 ระบบย่อย ปฏิวัติงานพิมพ์ งานสกรีน ภาพบนเสื้อ สามารถทำได้เหมือนกระบวนการอุตสาหกรรมพิมพ์เสื้อเลยทีเดียว เพราะรองรับการพิมพ์ถึง 6 ระบบหลัก 15 ระบบย่อย และทุกระบบ ล้วนพิมพ์ผ่านเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท ออกแบบโดยคอมพิวเตอร์ (ยกเว้นระบบสติ๊กเกอร์ ไม่ต้องใช้เครื่องคอมฯ) โดยไม่มีการใช้บล๊อคอีกต่อไป ซึ่งมีระบบดังนี้
1.ระบบการพิมพ์ ด้วยกระดาษเคมี ( TRANSFER PAPER ) เป็นระบบ พิมพ์ภาพ บนกระดาษติดบนเส้นใย
2.ระบบการพิมพ์ ด้วยพีวีซีเคมี ( TRANSFER PVC ) เป็นระบบ พิมพ์ภาพ บน PVC ลักษณะคล้ายพลาสติกติดบนเส้นใย
3.ระบบการพิมพ์ ด้วย LIGHT TRANSFER PAPER เป็นระบบ พิมพ์ภาพ เคลือบบนเส้นใย (คล้ายงานสกรีน) แบบด้าน
4.ระบบการพิมพ์ ด้วย LIGHT TRANSFER PAPER เป็นระบบ พิมพ์ภาพ เคลือบบนเส้นใย (คล้ายงานสกรีน) แบบเงา
5.ระบบการพิมพ์ ด้วยน้ำ้หมึกพิเศษ SUB เป็นระบบ พิมพ์ภาพ ซึมลงเส้นใย ทำให้ทนต่อแดดและการซักล้าง (เสื้อกีฬา)
6.ระบบการพิมพ์ ด้วย STICKER ซึ่งจำแนกออกไปได้อีก 9 ระบบ
6.1 สติ๊กเกอร์แบน
6.2 สติ๊กเกอร์นูน
6.3 สติ๊กเกอร์ผ้า ลายการ์ตูน
6.4 สติ๊กเกอร์กำมะหยี่
6.5 สติ๊กเกอร์เลื่อมเพชร
6.6 สติ๊กเกอร์ลูกปัด
6.7 สติ๊กเกอร์ผ้าถัก
6.8 สติ๊กเกอร์โลหะ
6.9 สติ๊กเกอร์สะท้อนแสง
        สามารถประยุกต์ใช้ร่วมกันเกิดเป็นไอเดียร์ใหม่ๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สร้างสรรค์ได้ทั้ง ปลอกหมอน หมอนข้าง หมอนอิง เน็คไทส์ ถุงผ้า กระเป๋าผ้า เสื้อจิ๋ว เสื้อวัยรุ่น เสื้อกีฬา กางเกง กระโปรง ผ้าเช็ดหน้า ฯลฯ พิมพ์ได้ทั้ง ผ้าสีอ่อนและสีเข้ม เนื้อผ้า คอตต้อน โพลีเอสเตอร์ ไนล่อน ผ้าต่วน ทีซี ทีเค ผ้าดิบ ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ใยผสม ใยธรรมชาติ ใยสังเคราะห์ ฯลฯ (การพิมพ์ ทั้งสีและเนื้อผ้า ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตที่แตกต่าง)

อ้างอิง http://www.massbuss.com/mass-press.htm

ธุรกิจตลาดออนไลน์

เปิดแล้วเฟรนไชน์เว็บไซต์เสื้อผ้าแฟชั่นนำเข้าจากเกาหลี  intrand  พร้อมส่งทุกรายการ สินค้ามีคุณภาพ  ลงทุนเช่าเว็บไซต์แรกเข้าเพียง 550 บาท   เริ่มธุรกิจของคุณได้เลย  วันนี้...  ด่วนๆ  เปิดร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์  คุณก็ทำได้...

 
        "ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ  ง่ายๆที่ปลายนิ้ว"
        ยินดีต้อนรับท่านเข้าสู่โลกของการทำธุรกิจแบบใหม่  แบบที่คุณต้องทึ่งในความเป็นไปได้ของระบบงานออนไลน์นี้ ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ
 
   ยินดีต้อนรับเข้าสู่ระบบงานทำเงินเรา

สวัสดี ครับ นี่คือระบบแนะนำธุรกิจให้กับสมาชิกครับ ท่านจะได้รับความรู้ รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ Cloth2rich.com ระบบโดยรวม วิธีการทำงานคร่าวๆและแผนการตลาดของเราครับ คุณสามารถดาวน์โหลด e-book ได้ที่นี่ กรุณาอ่านเรียงตามลำดับนะครับ

"ทำไม่ได้ ..หรือไม่ได้ทำ..." คำๆนี้ยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัยครับผม
บทเรียน

หากคุณได้ศึกษาทั้งหมดแล้ว ยังมีข้อข้องใจ สงสัย สอบถามผมได้โดยตรงนะครับ
0883289755  วรวุทธิ์ Email:step4you@hotmail.com

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดี มีเงินใช้กันถ้วนหน้าครับ
ด้วยความเคารพ
วรวุทธิ์  webmaster  

อ้างอิง http://www.cloth2rich.com/workonline2.asp?cid=2473

ธุรกิจห้าดาว


เป็นธุรกิจรูปแบบใหม่จากห้าดาว ซึ่งยังคงมาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยใช้ผลิตภัณฑ์จากซีพี ปลอดสาร ปลอดยาปฏิชีวนะมีกระบวนการผลิตที่ได้ รับมาตรฐาน ISO 9001 : 2000 และการบริการที่มีมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา

คุณสมบัติเจ้าของซุ้มห้าดาว

  • อายุไม่เกิน 40 ปี
  • สัญชาติไทย
  • มีใจรักงานขายและการบริการ
  • มีทำเลที่ตั้งซุ้มห้าดาวที่เหมาะสม ผ่านการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ของบริษัท

ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของซุ้มห้าดาว (ประมาณ 20,000 บาท)

  1. ค่าค้ำประกันตู้และอุปกรณ์ต่างๆ 3,000 บาท ซึ่งจะได้รับคืนเมื่อเลิกกิจการ
  2. ค่าขนส่งตู้ และอุปกรณ์ต่างๆ ไปยังจุดขายตามจริง
  3. ค่าสินค้า (บริการส่งสินค้าให้ฟรี)

อุปกรณ์ที่ทางบริษัทให้ยืม

ตู้ทอด ตู้เย็น อุปกรณ์การขาย

ขั้นตอนการเป็นเจ้าของซุ้มห้าดาว

  1. มีพื้นที่ที่ประกอบการที่เหมาะสม
  2. ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นสำหรับอุปกรณ์การขาย และสินค้าสำหรับขายบิลแรกประมาณ 20,000 บาท
  3. ฝึกอบรมตามหลักสูตรที่บริษัทฯ จัดไว้จนครบ
  4. บริษัทฯ ให้ยืมซุ้มขาย เตาทอด และตู้แช่ฟรี
  5. รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ 0-2746-9678-80
เอกสารที่ใช้ในการทำสัญญา: สำเนาทำเบียนบ้าน 3 ใบและสำเนาบัตรประชาชน 3 ใบ

ระเบียบข้อปฏิบัติ

  1. ผู้ขายต้องสวมเสื้อฟอร์ม เอี๊ยมกันเปื้อน และหมวกของบริษัท
  2. ต้องดูแลความสะอาดซุ้มและเครื่องมือเครื่องใช้เป็นอย่างดี เพราะบริษัทให้ยืมโดยไม่คิดค่าเช่าใดๆ
  3. ต้องไม่นำสินค้าที่ไม่ใช่ของบริษัทมาขายที่ซุ้มหรือนำมาเก็บรวมกับเครื่องเครื่องใช้ของบริษัท
  4. ต้องไม่นำสินค้าเก่า ค้างวัน กลับมาขาย
  5. ต้องให้การสนับสนุนสินค้าใหม่ของทางบริษัท
  6. ชำระสินค้ากับทางบริษัทเป็นเงินสดทันทีเมื่อได้รับสินค้า
  7. ขายสินค้าตามราคาที่บริษัทกำหนด

สนใจธุรกิจติดต่อ 02-800-8000

กรอกใบสมัครแฟรนไชนส์ (กรุณากรอกตามความเป็นจริง)

ธุรกิจร้านกาแฟ


 


ธุรกิจร้านกาแฟ
วิวัฒนาการของร้านกาแฟ
เริ่มจากรถเข็นขายกาแฟที่เราท่านเคยเห็นกัน จะมีถุงลวกกาแฟแล้วเทใส่น้ำตาล ใส่นม คนให้เข้ากัน แล้วก็ต้องทานกับปาท่องโก๋ ซึ่งเป็นของคู่กัน และมีโต๊ะกลมและเก้าอี้นั่ง มักจะพบเห็นได้ตามตลาดสด สถานที่คนพลุกพล่าน ฯลฯ และ Design จะเป็นแบบเรียบ เน้นขายผลิตภัณฑ์มากกว่าขาย Design หรือรูปลักษณ์
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวของธุรกิจร้านกาแฟเป็นไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมีผู้สนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากธุรกิจร้านกาแฟยังเปิดกว้างอยู่ แต่อย่างไรก็ตามการทำธุรกิจใดๆ ต่างมีความเสี่ยงทั้งสิ้น ธุรกิจร้านกาแฟก็เช่นกัน แม้จะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอยู่ ตราบใดที่กาแฟยังสร้างสุนทรีย์ให้กับผู้ที่รักการดื่มได้ แต่การทำธุรกิจตามกระแส ผู้ประกอบการอาจไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้ ผู้ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้จึงควรศึกษาข้อมูลบางส่วนไว้ ดังนี้

ลักษณะของผู้ประกอบการ
-          ผู้ประกอบการที่สนใจจะลงทุนธุรกิจร้านกาแฟ ควรมีความพร้อมในเรื่องของเงินลงทุนอยู่บ้างพอสมควร
-          ผู้ประกอบการต้องมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากหัวใจสำคัญของการทำร้านกาแฟอยู่ที่การเลือกทำเลที่ตั้ง หากขาดทำเลที่ตั้งที่ดีแล้ว โอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจด้านนี้นับว่ายากลำบากอยู่พอสมควร
-          ผู้ประกอบการควรมีความรู้ในศาสตร์ของกาแฟอยู่บ้าง เพราะการผลิตเครื่องดื่มกาแฟถือเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน ความเข้าใจในส่วนนี้จะช่วยในเรื่องการขาย การบริการ และการพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น

การลงทุน
ธุรกิจร้านกาแฟมีลักษณะการลงทุนใน 3 รูปแบบหลักๆ ดังนี้
1.       ร้าน (Stand - Alone) เป็นอาคารอิสระหรือห้องเช่าที่มีพื้นที่ประมาณ 50 ... ขึ้นไป ร้าน Stand - Alone อาจตั้งอยู่ตามย่านชุมชน ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือพลาซ่าใหญ่ๆ
2.       คอร์เนอร์ (Corner/Kiosk) ร้านกาแฟขนาดกลาง ใช้พื้นที่ประมาณ 6 ...ขึ้นไป ลักษณะเป็นมุมกาแฟภายในอาคาร ศูนย์การค้า หรือพลาซ่า ร้านกาแฟประเภทนี้อาจจัดให้มีที่นั่งจำนวนเล็กน้อย
3.       รถเข็น (Cart) ร้านกาแฟขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ประมาณ 3 ... สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก หาทำเลที่ตั้งได้ง่าย ทำให้เข้าถึงตลาดได้ทุกระดับ

โครงสร้างการลงทุน


 



ร้านกาแฟในรูปแบบ Stand Alone จะใช้เงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ 800,000 ถึง 1,500,000 บาท ซึ่งโครงสร้างต้นทุนของร้านกาแฟรูปแบบนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน คือ
1.       ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ประมาณ 90% ได้แก่
-          ค่าก่อสร้าง ออกแบบและตกแต่งสถานที่
-          ค่าวางระบบต่าง ๆ (ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ ระบบเก็บเงิน)
-          ค่าอุปกรณ์
2.       เงินทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ประมาณ 10 % ได้แก่
-          ค่าวัตถุดิบสินค้า
-          ค่าบรรจุภัณฑ์
-          ค่าจ้างพนักงาน
-          ค่าเช่าพื้นที่
-          ค่าน้ำ ค่าไฟ
-          ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

การลงทุนดังกล่าวเป็นเพียงตัวอย่าง ให้ผู้ประกอบการที่สนใจได้เห็นรูปแบบการลงทุนของร้านกาแฟแบบ Stand Alone คร่าว ๆ หากผู้ประกอบการบางรายมีความพร้อมด้านสินทรัพย์ถาวรบางรายการ หรือคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เข้ามาได้ทันกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ผู้ประกอบการก็สามารถปรับลดสัดส่วนของสินทรัพย์ถาวรหรือเงินทุนหมุนเวียนที่ จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายเริ่มต้นลงได้ ฉะนั้น สัดส่วนโครงสร้างการลงทุนจึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในธุรกิจของผู้ประกอบการ เองด้วย

วิธีการคำนวณรูปแบบการลงทุนร้านกาแฟ Stand Alone
กรณีร้านกาแฟในห้างสรรพสินค้า ใช้ขนาดพื้นที่ประมาณ 60 ตารางเมตร สัญญาเช่า 10 ปี ผู้ประกอบการใช้เงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ 1.42 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 1.27 ล้านบาท เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ประมาณ 1.48 แสนบาทต่อเดือน และหากผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายกาแฟได้ประมาณ 150 แก้วต่อวัน ในราคาเฉลี่ย 55 บาท โดยมีรายละเอียดที่จะต้องกำหนดขึ้น เพื่อการคำนวณดังนี้

งบประมาณ การลงทุน

รายการ
จำนวนเงิน (บาท)
ค่าก่อสร้าง ออกแบบและตกแต่งสถานที่
ค่าระบบไฟฟ้า
ค่าระบบประปา
ค่าระบบโทรศัพท์
ค่าระบบเก็บเงิน
800,000
50,000
15,000
5,000
 50,000

รวมเงินลงทุน

920,000
                                               
อุปกรณ์
รายการ
จำนวนเงิน (บาท)
เครื่องชงกาแฟ
เครื่องบดกาแฟ
เครื่องปั่น
เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ
อุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ
อุปกรณ์เครื่องเสียง
เครื่องเก็บเงิน
รวมค่าอุปกรณ์
200,000
30,000
40,000
 20,000
 20,000
 20,000
20,000
 350,000

รวมเงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

1,270,000
เงินทุนหมุนเวียน
147,500

รวมเงินลงทุนทั้งสิ้น

1,417,500




ประมาณการค่าใช้จ่ายต่อเดือน
Ø    ต้นทุนสินค้า (บาท/เดือน) 81,000
รวมค่าวัตถุดิบ (กาแฟ น้ำแข็ง นม ฯลฯ)
รวมค่าบรรจุภัณฑ์ (แก้ว ฝา ไม้คน หลอด ฯลฯ )
รวมต้นทุนกาแฟต่อหน่วย
15
3.0
18.00
รวมต้นทุนสินค้าต่อเดือน (150 x 18 x 30) = 81,000 บาท/เดือน

Ø    ค่าจ้างพนักงาน (บาท/เดือน) 24,500
หัวหน้าร้าน 1 คน
พนักงานร้าน 1 คน
พนักงานดูแลความสะอาด 1 คน
12,000
  7,000
  5,500

รวมค่าจ้างพนักงาน

24,500

Ø    ค่าเช่าพื้นที่ (บาท/เดือน) 30,000
Ø    ค่าน้ำ ค่าไฟ (บาท/เดือน) 7,000
Ø    ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (ค่าขนส่ง ค่าการตลาด ค่าส่งเสริมการขาย) 5,000
รวมประมาณการค่าใช้จ่ายต่อเดือน (บาท) 147,500

การกำหนดราคาขาย
ราคาขายของกาแฟแต่ละถ้วย จะถูกกำหนดขึ้นจากต้นทุนบวกด้วยกำไรที่ผู้ประกอบการต้องการ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว การตั้งราคาของผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงราคาขายของผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเดียวกันที่มีในตลาดด้วย เช่น กรณีของร้านกาแฟตัวอย่างที่กำหนดไว้นี้ จับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับบน ซึ่งราคาจำหน่ายกาแฟในตลาดระดับนี้ อยู่ที่ ประมาณ 45-65 บาท คิดเป็นราคาขายแก้วละ 55.00 บาท

รายได้
รายได้ของธุรกิจเกิดจาก (ยอดขาย x ราคาสินค้า)
150x30 x 55
247,500 บาท
กำไรเดือนละ
247,500 – 147,500
100,000 บาทต่อเดือน
( *โครงสร้างการลงทุนข้างต้น ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ 4 ราย ช่วงเดือนกรกฎาคม 2545 )



 


ร้านกาแฟในรูปแบบ Corner จะใช้เงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ 250,000 ถึง 800,000 บาท ส่วนรูปแบบ Cart ใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 80,000 ถึง 600,000 บาท การลงทุนในรูปแบบคอร์เนอร์และรถเข็น ใช้วิธีการคำนวณเช่นเดียวกับรูปแบบของร้าน เพียงแต่โครงสร้างเงินลงทุนของคอร์เนอร์และรถเข็นจะมีสัดส่วนที่แตกต่างไปจากร้าน Stand Alone ดังนี้

ตัวอย่างเงินลงทุนร้านกาแฟในรูปแบบคอนเนอร์และรถเข็น 
รายการ
คอร์เนอร์
รถเข็น
ค่าออกแบบตกแต่ง
ค่าระบบไฟฟ้า
ค่าระบบโทรศัพท์
เครื่องชงกาแฟ
เครื่องบดเมล็ดกาแฟ
เครื่องปั่น
เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
อุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ
เครื่องเก็บเงิน
250,000
30,000
5,000
200,000
30,000
40,000
10,000
10,000
30,000
70,000
-
-
50,000
-
-
-
10,000
-
               
ต้นทุนวัตถุดิบทั้งแบบคอร์เนอร์และรถเข็น อาจใช้อัตราเดียวกับการลงทุนแบบร้าน ส่วนต้นทุนการดำเนินงาน และต้นทุนการขายและบริหาร จะแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม ผู้ประกอบการต้องประมาณการ ต้นทุนค่าใช้จ่าย และยอดขายที่ต้องการขึ้น แล้วนำมาคำนวณโดยวิธีการดังตัวอย่างข้างต้น
เงื่อนไขและข้อจำกัดที่สำคัญ
-          การหาทำเลที่ตั้งจะค่อนข้างยาก เพราะทำเลที่ดีมักถูกผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าจับจองแล้ว
-          ผู้ประกอบการราย ใหญ่เริ่มหันมาจับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ทำให้การแข่งขันสูง นักลงทุนรายย่อยที่จะเข้ามาในตลาดจึงค่อนข้างมีความเสี่ยง เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่มีเงินลงทุนสูงและมีความรู้ในด้านเทคโนโลยีที่ ดีกว่า

ภาพรวมธุรกิจร้านกาแฟ
ในช่วงระยะเวลา 3– 4 ปี ที่ผ่านมานี้ ธุรกิจร้านกาแฟ มีอัตราการเติบโตรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุหลัก ๆ อาจสืบเนื่องมาจากธุรกิจร้านกาแฟรายใหญ่ ๆ จากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้ เช่น ซูซูกิ สตาร์บัคส์ สภาพดังกล่าวสร้างความคึกคักและตื่นตัวให้กับวงการธุรกิจร้านกาแฟเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน กระแสความนิยมการดื่มกาแฟของคนไทยก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากเดิม คนไทยนิยมดื่มกาแฟสำเร็จรูปกันเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบัน คนไทยได้หันมานิยมเข้าร้านกาแฟสดคั่วบด ที่มีการตกแต่งร้านให้หรูหราทันสมัย สะดวกสบาย มีบรรยากาศที่รื่นรมย์สำหรับการดื่มกาแฟมากขึ้น
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทยในปี พ.. 2545 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า คนไทยยังมีอัตราการดื่มกาแฟต่อคนต่ำมาก เฉลี่ย 200 แก้ว/คน/ปี เมื่อเทียบกับคนในแถบเอเชีย เช่น ชาวญี่ปุ่น ดื่มกาแฟเฉลี่ย 500 แก้ว/คน/ปี ในขณะที่ชาวอเมริกาดื่มกาแฟเฉลี่ย 700 แก้ว/คน/ปี ดังนั้น การดื่มกาแฟของคนไทยในอนาคตจึงยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เหตุนี้ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟ สภาพการแข่งขันในตลาดโดยรวมจึงดูเหมือนจะรุนแรง แต่เนื่องจากร้านกาแฟส่วนใหญ่ที่มีในปัจจุบัน มักเน้นการขายสินค้าและบริการเสริมอื่นๆ เช่น ขนมเค้ก คุกกี้ แซนด์วิช บางแห่งมีบริการอินเตอร์เน็ตให้กับลูกค้าด้วย เมื่อแต่ละร้านมีจุดขายที่เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคแตกต่างกันไป ประกอบกับคอกาแฟในตลาดยังมีหลายกลุ่ม การแข่งขันในตลาดจึง ยังไม่รุนแรง หรือชัดเจนเท่าใดนัก แต่อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในอนาคตมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องสร้างมาตรฐานให้กับสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

ส่วนแบ่งทางการตลาด
ส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจร้านกาแฟในปัจจุบันยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากผู้ประกอบการในตลาดมีอยู่หลายกลุ่ม ทั้งที่เป็นชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงการดำเนินธุรกิจก็มีรูปแบบที่หลากหลาย แตกต่างกันไปตามคุณภาพและราคาสินค้า อย่างไรก็ตาม ธุรกิจร้านกาแฟอาจพอแบ่งคร่าว ๆ ได้ ดังนี้

1. ร้านกาแฟที่เป็นแฟรนไชส์จากต่างประเทศ
ร้านกาแฟเหล่านี้ส่วนใหญ่จับกลุ่มลูกค้าระดับบน ราคาสินค้าโดยเฉลี่ย 65 บาทขึ้นไป ร้านกาแฟสตาร์บัคส์อาจถือได้ว่าเป็นผู้นำในตลาดนี้ ด้วยความมีชื่อเสียงและเป็นแบรนด์ดังจากประเทศอเมริกา สตาร์บัคส์เข้ามาในไทยเมื่อปี พ.. 2541 ชูจุดขายของการเป็นร้านกาแฟที่คัดสรรคุณภาพวัตถุดิบจากต่างประเทศ ภายในร้านมีสื่อประชาสัมพันธ์ประเภทแผ่นพับจำนวนมาก เพื่อให้ความรู้เรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับกาแฟแก่ลูกค้า สตาร์บัคส์จึงเป็นร้านที่ครองใจผู้บริโภคในตลาดกาแฟระดับบนมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนสาขาที่มีประมาณ 25 สาขา (Thailand Restaurant News, 2544) ส่วนร้านอื่นๆ ที่อยู่ในตลาดนี้ ได้แก่ ซูซูกิ โอบองแปง กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ส์ เป็นต้น

2.ร้านกาแฟของนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาสร้างแบรนด์ในไทย
มีหลายรายเช่นกัน เช่น คอฟฟี่ เวิลด์ คอฟฟี่บีนส์ สำหรับคอฟฟี่เวิลด์เป็นร้านที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในกลุ่มนี้ คอฟฟี่ เวิลด์เปิดตัวในปีพ.. 2540โดยนักลงทุนชาวอังกฤษ และเปิดสาขาแรกที่มหาวิทยาลัย ABAC มุ่งจับกลุ่มนักศึกษาที่มีรายได้สูง หลังจากนั้น คอฟฟี่เวิลด์ก็ขยายสาขาไปแถวถนนสีลม เน้นจับกลุ่มนักธุรกิจ คนทำงานมากขึ้น ปัจจุบัน คอฟฟี่ เวิลด์กำลังขยายสาขาไปในศูนย์การค้า เช่น เซ็นทรัล บิ๊กซี โลตัส รูปแบบการตกแต่งร้านมีความทันสมัย กาแฟที่ใช้ในร้านมีทั้งที่เป็นกาแฟไทยและกาแฟนำเข้าจากต่างประเทศ ราคากาแฟขายอยู่ที่ 45 – 65 บาทต่อแก้ว ในปัจจุบัน คอฟฟี่ เวิลด์มีจำนวนสาขาประมาณ 30 สาขา

3.ร้านกาแฟของคนไทยทั้งที่ลงทุนเองและเปิดสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์
ร้านกาแฟในกลุ่มนี้มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ร้านที่โดดเด่นและ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในระบบแฟรนไชส์ ได้แก่ ร้านแบล็คแคนยอน ซึ่งก่อตั้งขึ้นปลายปี 2536 ร้านแบล็คแคนยอนได้ฉีกแนวการทำร้านกาแฟให้ต่างไปจากเดิม ด้วยการเปิดร้านขายกาแฟควบคู่กับการขายอาหาร ร้านแบล็คแคนยอนมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางไปจนถึงระดับบน ที่เป็นกลุ่มคนทำงานและกลุ่มครอบครัว ราคาจำหน่ายกาแฟอยู่ที่ 45 – 65 บาท แบล็คแคนยอนชูจุดขายที่ความสดใหม่ของกาแฟ ด้วยการชงกาแฟ 1 ซอง ต่อ 1 แก้ว เมล็ดกาแฟที่ใช้ 70 % เป็นพันธุ์อาราบิก้าของโครงการหลวง และอีก 30% เป็นเมล็ดกาแฟนำเข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันร้านแบล็คแคนยอนมีจำนวนสาขาประมาณ 76 แห่ง (สัมภาษณ์, มิ.. 2545) นอกจากนี้ ร้านแบล็คแคนยอนยังได้ขยายการลงทุนเข้าไปในประเทศสิงคโปร์ และมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนต่อไปในประเทศมาเลเซีย และฟิลิปปินส์ด้วย ร้านกาแฟอื่นๆในกลุ่มนี้ ได้แก่ 94 Coffee, The Coffee Maker, Barista ร้านเหล่านี้จำหน่ายกาแฟที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับกาแฟจากร้านใหญ่ๆ แต่ราคาถูกกว่า สิ่งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีทางเลือกสำหรับการดื่มกาแฟเพิ่มขึ้น

4.ร้านกาแฟของคนไทยที่เปิดร่วมกับปั๊มน้ำมัน
ร้านกาแฟเหล่านี้เน้นจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักเดินทาง ราคากาแฟจะไม่สูงนัก เฉลี่ยประมาณ 30-45 บาทต่อแก้ว กลุ่มนี้เน้นการเป็นร้านสะดวกซื้อที่ขยายตัวไปพร้อมกับปั๊มน้ำมัน แบรนด์ดังๆ เช่น บ้านใร่กาแฟร่วมกับปั๊ม JET กาแฟบ้านเราร่วมกับปั๊มปตท. ลาวิตาร่วมกับปั๊มบางจาก การลงทุนโดยอาศัยแบรนด์ใหญ่ของปั๊มน้ำมัน ทำให้แบรนด์เล็กๆ ของร้านกาแฟดังกล่าวขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว สำหรับนักลงทุนกลุ่มนี้ บ้านใร่กาแฟถือว่าเป็นร้านกาแฟที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยสาขาในปัจจุบันประมาณ 80 แห่ง (สัมภาษณ์, มิ.. 2545) หลังจากเปิดดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2540 จุดเด่นของบ้านใร่กาแฟอยู่ที่การออกแบบร้านให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ มีบรรยากาศดึงดูดนักดื่มกาแฟได้เป็นอย่างดี
นอกจากการแบ่งเป็นกลุ่มดังกล่าวแล้ว ในตลาดยังมีธุรกิจร้านกาแฟรายย่อยอีกเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ร้านเหล่านี้จะลงทุนในรูปแบบมุมกาแฟ (Corner/Kiosk) หรือรถเข็น (Cart) ที่ใช้เงินลงทุนไม่มากนัก ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ส่งออกและนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟ จะเป็นผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์และวัตถุดิบต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ดังนั้น ผู้ประกอบการรายใหญ่ๆเหล่านี้ จึงมีบริการให้คำปรึกษา สอนการทำกาแฟให้กับร้านกาแฟรายย่อยๆ เพื่อเป็นช่องทางจัดจำหน่ายอุปกรณ์กาแฟและเมล็ดกาแฟ ร้านกาแฟรายใหญ่เหล่านี้ได้แก่ บอนกาแฟ อโรม่า กาแฟบ้านเรา กาแฟแม่สลอง เป็นต้น
ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการมีอยู่หลายทางเลือกด้วยกัน ทั้งในรูปของการซื้อสิทธิแฟรนไชส์จากบริษัทแม่ที่ขายแฟรนไชส์ หรือการเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทแบรนด์ใหญ่ๆ การเข้าร่วมลงทุนใน 2 ลักษณะนี้ ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาเงื่อนไขสัญญา แผนการตลาด รวมทั้งประวัติความเป็นมาของบริษัทอย่างรอบคอบ ทาง ที่ดี ผู้ลงทุนควรศึกษาจากหลายๆแห่ง และนำมาเปรียบเทียบกันก่อนตัดสินใจเลือกลงทุนกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือ การลงทุนสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเอง ในปัจจุบันนี้ ทางเลือกดังกล่าว อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง การแย่งชิงพื้นที่ทำธุรกิจมีสูง โดยเฉพาะตามศูนย์การค้า ถ้าผู้ประกอบการไม่มีสายสัมพันธ์ที่ดีมาก่อนและแบรนด์ไม่แข็งพอ การเปิดตัวธุรกิจจะทำได้ยาก แต่ใช่ว่าผู้ประกอบการรายใหม่ๆที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตัวเองจะไม่มีโอกาสเลย เพียงแต่ในระยะเริ่มแรกนั้น ผู้ประกอบการจะต้องเน้นสร้างแบรนด์ของตนเองให้แข็งแกร่งในตลาดกลุ่มเป้าหมายก่อน เพราะในตลาด ผู้บริโภคกาแฟยังสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้อีกมาก เช่น กลุ่มวัยรุ่น นักเที่ยวยามค่ำคืน คนทำงานดึก เป็นต้น
ทั้งนี้ ก่อนเริ่มทำธุรกิจ ผู้ประกอบการควรเลือกทำเลที่ตั้งให้เหมาะสม โดยศึกษาว่าบริเวณทำเลที่เลือกนั้น กลุ่มลูกค้ามีพฤติกรรมชอบดื่มกาแฟมากน้อยแค่ไหน และในละแวกนั้นมีคู่แข่งไหม จุดไหนที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกดื่มกาแฟของร้าน หรืออะไรที่ทำให้ธุรกิจแตกต่างไปจากร้านอื่นๆ ผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเข้ามาลงทุน ควรสร้างความแตกต่างไปจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด ทั้งรูปแบบการตกแต่งร้านและรสชาติของสินค้า สิ่งเหล่านี้ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเปิดธุรกิจร้านกาแฟ

กลุ่มเป้าหมาย
ร้านกาแฟในปัจจุบัน มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ๆ ได้แก่ นักธุรกิจ นักศึกษา คนทำงาน และนักท่องเที่ยว

ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริม
ร้านกาแฟบางแห่งจะมุ่งไปที่การขายกาแฟเป็นหลัก เช่น ร้านสตาร์บัคส์ ร้านกลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ส์ แต่ร้านกาแฟบางแห่งมีชื่อเสียงในเรื่องขนม ของว่าง เช่นเค้ก คุกกี้ ไอศกรีม สลัด แซนด์วิช ที่นำมาขายเป็นธุรกิจเสริมร่วมกับกาแฟ ตัวอย่างร้านกาแฟเหล่านี้ ได้แก่ โอปอแปง มีชื่อเสียงในเรื่องแซนด์วิช ร้านแบล็คแคนยอนมีชื่อเสียงในเรื่องการขายอาหารร่วมกับกาแฟ เป็นต้น ฉะนั้น ผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนร้านกาแฟ จึงอาจหาสินค้าเสริมเข้ามาขายร่วมกับกาแฟ เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น

ส่วนผสมทางการตลาด
ผู้ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ มักให้ความสำคัญกับรสชาติ ความหอม และบรรยากาศของการดื่มกาแฟ ผู้ประกอบการร้านกาแฟจึงต้องให้ความสำคัญกับด้านต่างๆ ดังนี้
ด้านผลิตภัณฑ์ (Product)
กาแฟสดแตกต่างจากกาแฟสำเร็จรูป ในเรื่องของรสชาติที่กลมกล่อม และกลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้น่าดื่มมากกว่า คอกาแฟส่วนใหญ่มีรสนิยมการดื่มกาแฟที่ต่างกัน บางคนชอบดื่มกาแฟที่มีรสชาติเข้มข้น บางคนชอบดื่มกาแฟที่ออกรสเปรี้ยวเล็กน้อย ดังนั้น ในด้านผลิตภัณฑ์ ผู้ลงทุนควรใส่ใจเรื่องดังต่อไปนี้
-          ผู้ผลิตจะต้องคิดค้น พัฒนาสูตรเครื่องดื่มกาแฟให้มีหลากหลายรสชาติ และกลิ่นหอม ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งผลิตภัณฑ์ต้องผ่านกระบวนการผลิตที่สะอาดปลอดภัย สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคได้
-          ในภาวะ ที่ผู้บริโภคมีทางเลือกหลากหลาย สิ่งสำคัญที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการรายใหม่ติดตลาดหรือได้รับการ ตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค คือการพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม โดดเด่น และแตกต่างไปจากสินค้าที่มีในตลาด เพื่อสร้างบรรยากาศของการดื่มกาแฟให้ได้รสชาติยิ่งขึ้น
-          การสร้างตราสินค้า (Brand) ที่แรง และเป็นที่จดจำได้ง่าย ตัวอย่างเช่น บ้านใร่กาแฟ นำเอาการเล่นคำสะกดที่ผิดมาใช้ ทำให้คนเกิดความสนใจและจดจำตราสินค้ากันมากขึ้น หรืออย่างสตาร์บัคส์ แบล็คแคนยอน และ คอฟฟี่เวลิด์ ต่างก็มีสโลแกนสำหรับตราสินค้าของตัวเอง ผู้บริโภคจะระลึกถึงตรา สินค้านั้นๆ เสมอ เมื่อต้องการดื่มกาแฟ เช่น
-          แบล็คแคนยอนสวรรค์ของคนรักกาแฟแสดงให้เห็นว่าคอกาแฟจะไม่ผิดหวังถ้าเลือกดื่มกาแฟที่ร้านแบล็คแคนยอน
-          คอฟฟี่เวิลด์ “Where the World Meet” สร้างภาพของสถานที่ดื่มกาแฟ ซึ่งเหมาะต่อการเป็นเป็นแหล่งนัดพบ ทั้งเพื่อการสังสรรค์ และเพื่อการติดต่อธุรกิจ
ฉะนั้น ผู้ประกอบการจะต้องผลิตสินค้าให้มีทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย รูปแบบการบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม และตราสินค้าที่ดี สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้สินค้าประสบความสำเร็จในตลาดได้ง่ายขึ้น
ด้านสถานที่
สถานที่สำหรับประกอบธุรกิจร้านกาแฟมีความสำคัญมาก นอกจากการเลือกทำเลที่ดี การสัญจรสะดวก มีที่จอดรถ แล้วภายในบริเวณร้านจะต้องจัดแต่งให้สวยงาม ทั้งนี้ เนื่องจากรูปแบบการบริโภคกาแฟของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากอดีต ร้านกาแฟมักเป็นร้านขนาดเล็ก หรือรถเข็น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นชาวจีน มาในปัจจุบันคนไทยหันมานิยมดื่มกาแฟสดคั่วบดในร้านกาแฟที่มีบรรยายกาศและการตกแต่งร้านที่ทันสมัย หรือที่เรียกกันว่าร้านกาแฟพรีเมี่ยม (Premium) รูปแบบของร้านกาแฟในปัจจุบัน จึงถูกจัดตกแต่งให้ดูทันสมัย มีความโดดเด่นในเรื่องความสะอาด สะดวกสบาย และบรรยากาศผ่อนคลาย เหมาะจะเข้าไปนั่งพักนั่งคุย ทั้งนี้เพราะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของร้านกาแฟส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจ นักศึกษา วัยรุ่น และนักท่องเที่ยว รูปแบบการจัดแต่งร้านกาแฟพรีเมี่ยม จะคล้ายกับร้านฟาสท์ฟู้ดทั่วไป คือเน้นการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในร้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย
1.       การจัดวางอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในร้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อง่ายต่อการใช้สอย หากพื้นที่ภายในร้านค่อนข้างจำกัด ผู้ลงทุนอาจทำชั้นวางของรอบด้านเพื่อเก็บอุปกรณ์ต่างๆให้เป็นระเบียบ นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังต้องจัดการฝึกอบรมพนักงานให้มีระเบียบจนเป็นนิสัย ไม่เช่นนั้นแล้ว การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยที่ดี ก็จะกลับมายุ่งเหยิงอีกครั้ง
2.       การลดขั้นตอนต่างๆ ของหน้าร้านให้สั้นที่สุด ทั้งด้านการผลิต การรับคำสั่งซื้อจากลูกค้า และการชำระเงิน การลดขั้นตอนนี้ นอกจากจะเป็นการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานแก่พนักงานแล้ว ยังทำให้ลูกค้าได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น
ตัวอย่างร้านกาแฟพรีเมี่ยม เช่น ร้านสตาร์บัคส์ ซูซูกิ แบล็คแคนยอน หรือ คอฟฟี่เวิลด์ ภายในร้านเหล่านี้จะมีนิตยสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ จัดเตรียมไว้บริการลูกค้าด้วย ฉะนั้น การตกแต่งสถานที่และการสร้างบรรยากาศภายในร้านกาแฟ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสามารถสนองตอบความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ช่องทางการจัดจำหน่าย
ร้านกาแฟสดส่วนใหญ่จะมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่มุ่งไปตามย่านธุรกิจ แหล่งท่องเที่ยวและสถานที่ต่างๆ ดังนี้
-          ห้างสรรพสินค้า
-          ซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ๆ
-          ใกล้สถาบันการศึกษา
-          ใกล้โรงภาพยนต์
-          ปั๊มน้ำมัน
ราคา
เครื่องดื่มกาแฟตามร้านกาแฟสดทั่วไป มีระดับราคาตั้งแต่ 20 บาท ไปจนถึง 100 กว่าบาท ส่วนใหญ่การตั้งราคาพิจารณาจากต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิต กาแฟพันธุ์อาราบิก้าจะมีราคาประมาณกิโลกรัมละ 100 –120 บาท สูงกว่าพันธุ์โรบัสตาประมาณ 3–4 เท่า ส่วนราคาของกาแฟคั่วเสร็จจะสูงกว่ากาแฟดิบมาก มีตั้งแต่ราคา 300 -400 บาท ไปจนถึง 700 บาทขึ้นไป กาแฟจึงมีคุณภาพ รสชาติ และกลิ่นหอมที่แตกต่างกันไป สำหรับกาแฟที่นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาจะสูงขึ้นไปอีก สาเหตุหลักเพราะผู้นำเข้าต้องเสียภาษีสูงถึง 95 %
ดังนั้น ราคาเครื่องดื่มที่ผลิตขึ้นจึงแตกต่างกันไปตามต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาใช้ บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินงาน โดยการกำหนดราคา ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับคุณภาพ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

การส่งเสริมการขาย
ธุรกิจร้านกาแฟอาจใช้วิธีการส่งเสริมการขาย มีดังต่อไปนี้
-          ส่วนใหญ่ธุรกิจร้านกาแฟจะเน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และแผ่นพับ หรือ Direct Mail เพราะสื่อเหล่านี้นำเสนอให้เห็น ภาพลักษณ์ของสินค้าที่ดี ชื่อสินค้า และตราสินค้า เพื่อให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วด้วยต้นทุนที่ต่ำ ขณะที่การส่งเสริมการขายด้วยรูปแบบการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์นั้นน้อยมาก เนื่องจากใช้ต้นทุนสูง
-          การประชาสัมพันธ์ที่ดีอีกวิธี คือการสร้างมาตรฐานของร้านให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค จนนำไปบอกกล่าวกันแบบปากต่อปาก วิธีนี้ได้ผลดีมากสำหรับธุรกิจร้านกาแฟ
-          ผู้ประกอบการอาจส่งเสริมการขายด้วยรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจัดโปรโมชั่นแลกซื้อของที่ระลึก หรือในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ ก็อาจจะนำกาแฟบางรายการมาลดราคา เพื่อให้ผู้บริโภคหันมาดื่มกาแฟกันมากขึ้น หรือผู้ประกอบการอาจจัดกิจกรรมร่วมสนุกเพื่อดึงผู้บริโภคเข้าร้านบ่อยครั้งมากขึ้น ตัวอย่างเช่น กิจกรรม Cupping Session ที่ร้านกลอเรีย จีน คอฟฟี่ส์ กิจกรรมดังกล่าวเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ทดสอบรสชาติของกาแฟแต่ละชนิดว่ามีคุณสมบัติอย่างไร และถือเป็นการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคไปในตัวด้วย

ความรู้เรื่องเมล็ดพันธุ์

          จุดกำเนิดของกาแฟเล่ากันว่า มาจากประเทศเอธิโอเปีย แต่บางตำราก็กล่าวกันว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศเยเมน ซึ่งกาแฟในโลกนี้ มีหลากหลายสายพันธ์ และปลูกได้ดีในบริเวณแถบเส้นศูนย์สูตรของโลก ซึ่งคุณภาพของกาแฟ ที่มีชื่อเสียงก็มาจากแหล่งปลูกที่ต่าง ๆ ของโลกนั่นเอง จนกระทั่งเราสามารถแบ่งประเภทของกาแฟตามแหล่งปลูกได้ เช่น กาแฟบราซิล ซึ่งเป็นแหล่งที่ปลูกกาแฟได้มากที่สุดในโลก หรือแหล่งปลูกในเขตอเมริกากลาง เช่น โคลัมเบีย เป็นต้น หรือแหล่งปลูกในเขตตะวันออกเฉียงเหนือได้แก่ ประเทศเยเมน เอธิโอเปีย และเคนย่า หรือในแหล่ง ปลูกของประเทศที่เป็นเกาะ เช่น จาไมก้า เป็นต้น ส่วนแหล่งปลูกในเขตเอเชีย ก็ได้แก่ ประเทศอินโดนีเชีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ และไทย
สำหรับปริมาณการผลิตกาแฟของโลกนั้น สามารถเรียงตามลำดับ ได้ดังนี้ คือ
1.       กลุ่มประเทศบราซิล ผู้ผลิตอันดับ 1 ของโลก ผลิตประมาณได้ 1.6 ล้านตัน/ปี
2.       กลุ่มประเทศเอเชีย ผลิตได้ประมาณ 1.3 – 1.5 ล้านตัน/ปี
3.       ประเทศเขตแอฟริกา ผลิตได้ประมาณ 1 ล้านตัน/ปี
4.       โคลัมเบีย ประเทศผู้ผลิตอันดับ 2 ผลิตได้ ประมาณ .72 ล้านตัน/ปี
ดังนั้นการที่เราได้ยินชื่อเมนูกาแฟ ว่ากาแฟบราซิล กาแฟโคน่า... ซึ่งก็หมายถึงแหล่งปลูกนั่นเอง
กาแฟที่มีชื่อเสียง
กาแฟ คอฟฟาลิกา จะเป็นกาแฟ ที่มีชื่อเสียงของทางยุโรป กาแฟโคลัมเบียก็เป็นกาแฟ ที่มีชื่อเสียงมากของโลก และที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ บลูเม้าเทน ก็มาจากจาไมก้าซึ่งผลิตได้น้อย แต่ก็มีชื่อเสียงมาก กาแฟฮาราก็ปลูกมากที่ประเทศเอธิโอเปีย กาแฟชวาก็ปลูกมากที่อินโดนีเซีย ส่วนกาแฟมอคค่าก็มีแหล่งปลูกที่ประเทศเยเมน

กาแฟไทย

กาแฟถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ประเทศไทยผลิตกาแฟได้มากในแถบเอเชีย ซึ่งมีผลผลิตเป็นรองจากเวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งเมื่อเทียบกับผลผลิตของโลกทั้งหมด เราสามารถผลิตประมาณ 8 หมื่นตัน/ปี คิดเป็น 1.2-1.3% ของทั้งหมดเท่านั้น แต่ผลผลิต 90-95% เป็นสายพันธุ์โรบัสต้า กาแฟที่ผลิตได้เราบริโภค ภายในประเทศ 30,000 – 50,000 ตัน ที่เหลือประมาณ 50,000 – 55,000 ตัน จะส่งออกขายไปยังประเทศ อเมริกา เกาหลี เนเธอแลนด์ ญี่ปุ่น และโปแลนด์ เป็นต้น ซึ่งการส่งออก มีทั้งประเภทที่แปรรูปแล้ว และส่งเป็นเมล็ดกาแฟ ที่มีโรงงานกาแฟยี่ห้อดัง ๆ อยู่ตามจังหวัดภาคใต้ ที่เปิดบริษัทรับซื้อเมล็ดกาแฟ แล้วนำมาคั่วบด หรือทำเป็นกาแฟสำเร็จรูปส่งจำหน่าย การปลูกกาแฟในประเทศไทย มีมานานกว่า 20 ปีแล้ว

สายพันธุ์ของกาแฟ

ก่อนที่คุณจะทำธุรกิจกาแฟนั้น คุณจะต้องรู้จักสายพันธุ์กาแฟก่อน สายพันธุ์กาแฟในโลกนี้มีอยู่ 4 สายพันธุ์คือ อาราบิก้า โรบัสต้า เอ็กซิล่า และเบอริก้า แต่สายพันธุ์ที่ปลูกได้มากในประเทศไทย มี 2 สายพันธุ์ คือ โรบัสต้า และอาราบิก้า เพราะก่อนที่คุณจะซื้อกาแฟคุณจะต้องถามผู้ขายว่าใช้กาแฟ สายพันธุ์อะไร กาแฟพันธุ์อาราบิก้านั้น จะมีความหอมชวนดื่ม ปลูกมากทางภาคเหนือ เพราะชอบอากาศเย็น ปลูกที่เชียงใหม่มากที่สุดและมีที่แม่ฮ่องสอน ตาก เชียงราย ผลผลิตผลิตได้ 800-850 ตัน/ปี คิดเป็น 4-5% ของที่ผลิตได้ในประเทศเท่านั้น เพราะพื้นที่ที่มีอากาศเย็นของบ้านเรามีน้อย ส่วนสายพันธุ์โรบัสต้า จะมีกลิ่นหอมน้อยกว่า อาราบิก้า ปลูกได้มากทางภาคใต้ของประเทศ คือ จังหวัด ระนอง ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช ผลิตได้ประมาณ 95% ของผลผลิตทั้งหมดของประเทศ
ตลาดกาแฟ
การจำหน่ายกาแฟ จะแบ่งเป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ
1.     กาแฟคั่วบด คือกาแฟสำหรับตลาดระดับบน เป็นกาแฟเมล็ดที่คั่วแล้ว และนำมาบดชงให้ลูกค้าดื่ม ในการทำธุรกิจตลาดนี้มักใช้ สายพันธ์อาราบิก้า นำมาคั่วบดซึ่งจะมีความหอมชวนดื่มมากกว่า ธุรกิจตลาดระดับพรีเมี่ยมนั้นเกิดมาเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แต่มาในช่วง 2-3 ปีหลังนี้มีการขยายตัวชัดเจนและเร็วมากกว่า 6 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2540 ธุรกิจนี้กำลัง อยู่ในกระแสนิยมเป็นแฟชั่น ซึ่งตลาดยังเปิดกว้าง แต่ประเด็นสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจนี้จะต้องตระหนัก ก็คือจำนวนกลุ่มเป้าหมายมีน้อย ซึ่งเป็นกลุ่มคนชั้นกลางขึ้นไป ซึ่งมีเพียงร้อยละ 20 ของประชากร ซึ่งนับว่า เป็นจุดที่มีความเสี่ยงในการลงทุน ดังนั้นก่อนที่คุณจะเปิดร้านจะต้องมีการทำการศึกาพฤติกรรมของผู้บริโภค ในบริเวณนั้นให้แน่ใจเสียก่อนว่า จะมีกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้บริการร้านของคุณมากพอ คุ้มค่ากับการลงทุนของคุณหรือไม่ นอกจากนี้ภาวะการแข่งขัน เป็นอีกข้อหนึ่งที่คุณต้องคิดถึง เพราะถ้าหากมีร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยมที่มีทุน สูงและมีความสามารถในการดำเนินงานที่ดีกว่า จะทำให้การแข่งและเกิดความเสี่ยงเช่นกัน ถึงแม้ตลาดนี้ยังมีโอกาสที่กว้างอยู่ แต่การแข่งขันจะทำให้เกิดการคัดเลือกเฉพาะรายที่ดีที่สุด และมีจุเด่นของตัวเอง เท่านั้นที่จะอยู่ได้
2.       กาแฟผงสำเร็จรูป เป็นกาแฟผงที่ใช้ชงกันตามบ้าน ซึ่งมีการบริโภคกันมากที่สุด
3.       กาแฟพร้อมดื่ม คือกาแฟกระป๋อง

ปัจจัยที่มีผลต่อรสชาติของกาแฟ

ถ้าหากร้านของคุณจะชงกาแฟได้อร่อยกว่าร้านของคนอื่น คุณจะต้องทราบว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อรสชาติของกาแฟ ซึ่งก็มี 5 ส่วนก็คือ
1. ชนิดของกาแฟ
การเลือกกาแฟ ผู้ขายจะต้องเรียนรู้ว่ากาแฟอะไร มีกลิ่นหอม และรสชาติที่แตกต่างกันอย่างไร และใช้กาแฟบด หรือกาแฟสำเร็จรูป ในกลุ่มของกาแฟคั่วบด จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
          - สเตรทคอฟฟี่ (Straight coffee) หมายถึง พันธุ์อาราบิก้าแท้ 100% ที่มาแหล่งปลูกเดียวกัน เช่น บราซิล เคนย่า จาไมก้า บลูเม้าเท่น เป็นต้น
          - คอฟฟี่ แบล็นด์ เป็นการใช้กาแฟผสมกัน เช่น พันธุ์อาราบิก้าผสมกับ โรบัสต้า หรือใช้พันธุ์อาราบิก้า 2 ชื่อขึ้นไปผสมกัน

2. การคั่วบด
กาแฟที่มีรสชาติอ่อน และรสเข้มนั้น เกิดจากการคั่วบด และวิธีการบดหยาบหรือละเอียด ก็เป็นตัวแปรอีกอันหนึ่งของรสชาติของกาแฟแตกต่างกัน กาแฟที่บดหยาบ รสชาติจะอ่อนกว่า กาแฟที่บดละเอียด ก่อนบดกาแฟทุกครั้ง ขอให้คุณแน่ใจว่าเป็นชนิดไหน เพื่อให้ได้ขนาดของเกล็ดเหมาะกับอุปกรณ์ โดยหลักของการบดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาของน้ำชงผ่านกาแฟเพราะฉะนั้น เวลาที่ใช้ในการชงกาแฟ ยิ่งเร็ว เกล็ดของกาแฟ จะยิ่งละเอียด หรือเวลาที่ใช้ในการชงกาแฟยิ่งช้าเกล็ดของกาแฟจะยิ่งหยาบ

3. วิธีการชง
วิธีการชงกาแฟจะมีหลายแบบด้วยกัน คือแบบกระดาษกรอง แบบใช้แรงดัน หรือแบบเครื่องชงอัตโนมัติ ซึ่งวิธีการชงก็จะมีผลที่ทำให้รสชาติของกาแฟออกมาไม่เหมือนกัน จุดเริ่มต้นของวิธีการชงในปี ค..1300 กาแฟมีการนำเมล็ดกาแฟดิบมาคั่ว แล้วต้มดื่มทั้งเม็ด ยังไม่มีการบด           ต่อมามีการนำเม็ดที่คั่วมาตำให้แตกเป็นผงแล้วนำไปต้มน้ำให้เดือด แล้วดื่มทั้งกาแฟที่แช่อยู่ในน้ำ ซึ่งยังไม่มีการกรอง
ต่อมาพบว่าการต้มพร้อมดื่มมีรสชาติที่เข้มเกินไป จึงกรองผงกาแฟออกเป็นน้ำกาแฟที่มีรสอ่อนลง แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยม จนกระทั่งปี ค.. 1710 ชาวฝรั่งเศส มีการคิดค้นวิธีการชงกาแฟแบบใหม่ คือ การนำน้ำร้อนไปเทผ่านกาแฟคั่วบด ด้วยการนำกาแฟคั่วบดใส่ถุงผ้าที่ขึงปากถุงด้วยลวด แล้วเทน้ำร้อนผ่านถุงผ้า ผลที่ได้ก็คือ น้ำกาแฟมีรสชาติกลมกล่อมลงตัว กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายแทนการต้มกาแฟ และหลังจากนั้นก็มีการพัฒนาเครื่องชงกาแฟหลายรูปแบบ โดยใช้หลักการเอาน้ำร้อนผ่านกาแฟ เพื่อสกัดเอารสชาติของกาแฟออกมา

มีเทคนิคแนะนำง่าย ๆ เพื่อให้ชงกาแฟได้อร่อยก็คือ

-          ใช้กาแฟคั่วบดที่ใหม่สดเสมอ
-          บดกาแฟให้ได้เกล็ดเหมาะกับอุปกรณ์กาแฟที่ใช้ (หยาบ ปานกลาง ละเอียด ผง)
-       ใช้ปริมาณให้เพียงพอต่อการชง 1 ถ้วย ปกติกาแฟ 1 ถ้วย ใช้กาแฟคั่วบด 8-10 กรัม แต่ถ้าชงกาแฟ ในน้ำที่กระด้างมาก หรือชงกาแฟที่ใส่นมควรเพิ่มกาแฟคั่วบดให้มากขึ้นเล็กน้อย
-          ใช้น้ำสะอาด ปราศจาก ตะกอน สี กลิ่น รส
-       น้ำร้อนที่มีอุณหภูมิเหมาะสมในการชงกาแฟ คือ อุณหภูมิ 94 องศาเซลเซียส หรือน้ำร้อนหลังจากที่เดือดและปล่อยทิ้งไว้สักครู่ ไม่ควรใช้น้ำร้อนที่เดือดจัดชงกาแฟ เพราะจะทำให้ผงกาแฟไหม้ หรือถูกลวกอย่างแรง ทำให้น้ำกาแฟที่ได้จะขม
-          กรณีที่อากาศเย็น ควรลวกถ้วยกาแฟให้ร้อนก่อนเทน้ำกาแฟลงไป
-          ดื่มกาแฟที่ชงเสร็จใหม่ ๆ
-          ไม่ควรนำผงกาแฟที่ใช้แล้วมาชงซ้ำอีก
4.       ส่วนผสมพิเศษต่าง ๆ
 ชนิดของส่วนผสมของน้ำตาล ครีม ทำให้รสชาติแตกต่างกันออกไป จะเห็นว่าแต่ละร้านมีการเลือกส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น คาปูชิโน บางแห่งก็ใช้นมสด บางแห่งให้นมถั่วเหลือง และไซหรับที่ใส่ในกาแฟ ช็อคโกแลต คาราเมล วานิลา น้ำผึ้ง เครื่องเทศ สุรา ไอศกรีม และวิปปิ้งครีมต่าง ๆ สามารถนำมาประยุกต์ทำเป็นสูตรของตัวเองที่ทำให้รสชาติต่างไปจากร้านอื่นได้
5.       การเก็บรักษา
 กาแฟที่สัมผัสกับอากาศนั้นจะทำให้กลิ่นหมดไปและมีผลต่อรสชาติ ดังนั้นผู้ที่ขายกาแฟจะต้องให้ความสำคัญ ศึกษาวิธีการเก็บรักษา ควรเก็บกาแฟคั่วบดให้อยู่ในภาชนะที่ปิดสนิท วางให้ห่างจากอาหารที่มีกลิ่นแรง ห่างจากแสงแดด และเก็บในอุณหภูมิห้องปกติ ควรเลือกขนาดภาชนะให้เหมาะกับปริมาณกาแฟ เพื่อขจัดช่องว่างของอากาศให้น้อยที่สุด ควรซื้อกาแฟใช้พอใช้ของแต่ละรอบเพื่อให้ได้กาแฟที่ใหม่ สดเสมอ ควรล้างและเก็บรักษาอุปกรณ์การชงกาแฟ ให้สะอาดทั้งก่อนใช้และหลังใช้
อุปกรณ์การชงกาแฟ
การ ชงกาแฟคั่วบดมีหลักการพื้นฐานง่ายที่ใช้ได้กับทุกอุปกรณ์ ที่สามารถนำน้ำร้อนผ่านเพื่อสกัดเอาน้ำกาแฟที่เต็มไปด้วย รสชาติ ความหอม และความสดจากกาแฟแท้ ไม่มีอุปกรณ์ชิ้นใดที่ถูกระบุว่าเป็นอุปกรณ์ชิ้นที่ดีที่สุด ในการชงกาแฟ ควรขึ้นอยู่กับความสะดวก ความชอบของแต่ละท่านที่มีต่ออุปกรณ์การชงกาแฟชิ้นนั้น ๆ อย่างไรก็ตามเราก็ต้อง รู้จักเครื่องชงของแต่ละประเภทสำหรับการเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม คือ
เครื่องชงกาแฟแบบกรอง
เครื่องชงกาแฟแบบกรอง ประดิษฐ์ขึ้นโดย M.DeBelloy ตัวเครื่องแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนบน และส่วนล่าง วิธีการชง เทน้ำร้อนใส่กรอยด้านบนที่มีกาแฟบดปานกลาง บรรจุอยู่ในกระดากรอง น้ำจะไหลผ่าน และค่อย ๆ หยดเป็นน้ำกาแฟที่โถรองด้านล่าง กาแฟที่ได้จะถูกใจผู้ที่ชื่นชอบกาแฟบางใส รสชาติกลมกล่อม รสเข้มปานกลาง ปราศจากความมัน แต่จะมีผงกาแฟ เป็นส่วนประกอบตามธรรมชาติ ที่เป็นสไตล์ของเครื่องชงกาแฟแบบกรอง
ในตลาดของเครื่องชงกาแฟแบบกรอง จะมีการผลิตออกมาวางจำหน่ายเป็น จำนวนมากหลากหลายรูปแบบ ให้ได้เลือกตามความต้องการ มีให้เลือกได้ตั้งแต่ตามขนาดของกระดาษกรอง วัสดุที่ใช้ทำตัวกรอง หรือแม้แต่รูปร่างของกรวยที่วางกระดาษกรอง ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มดังนี้
-          เครื่องชงกาแฟแบบกรอง กรวยกาแฟทรงโคน
-          เครื่องชงกาแฟแบบกรอง กรวยกาแฟทรงลิ่ม
-          เครื่องชงกาแฟแบบกรอง กรวยกาแฟทรงท้องแบน
เครื่องชงกาแฟระบบสูญญากาศ (Vacuum)
เทคนิคการชงกาแฟที่น่าตื่นตาตื่นใจ ถูกประดิษฐ์ประมาณปี 1840 โดยวิศวกรชาวสก๊อต Robert Napier ประกอบด้วยกระเปาะแก้ว 2 ใบ พร้อมท่อส่งน้ำ ตัวกรองตรงกลาง และตะเกียงจุดไฟเล็ก ๆ บางครั้งเราเรียกอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่า ไซฟ่อนหรือ กาลักน้ำ
 กาแฟที่ได้จากการชงด้วยระบบสูญญากาศนี้ รสชาติของกาแฟที่ได้ ไม่มีความแตกต่างด้วย วิธีการชงกาแฟแบบกรอง กาแฟที่ได้จะบางใส รสชาติ เข้มปานกลาง ปราศจากความมัน และผงกาแฟที่เป็นส่วนประกอบ ตามธรรมชาติที่ควรมี ส่วนความแตกต่างที่ชัดเจนคือ ความซับซ้อนของ กระบวนการชงกาแฟที่เกิดจากการถ่ายเทน้ำ ไปมาระหว่างกระเปาะแก้ว 2 ใบ ซึ่งสามารถสร้าง ความพิศวงให้แก่ผู้พบเห็นได้ไม่น้อย
การเตรียมกาแฟด้วยเครื่องชงกาแฟแบบกรอง
1.       เติมน้ำในกระเปาะแก้วใบล่าง
2.       ค่อย ๆ ใส่กระเปาะแก้วใบบนพร้อมท่อส่งน้ำไว้บนกระเปาะแก้วใบล่างยึดกระเปาะแก้ว 2 ใบ ให้แน่นติดกันโดยค่อย ๆ กดและบิดกระเปาะแก้ว 2 ใบ ในลักษณะสวนทางกัน
3.       จุดไฟที่ตะเกียง วางตะเกียงใต้กระเปาะแก้วใบล่าง ตักกาแฟใส่ในกระเปาะแก้วใบบน
4.       หลังจากนั้นน้ำที่ถูกต้มจนเดือดแล้ว จะค่อย ๆ ไหลขึ้นไปละลายกาแฟที่อยู่ในกระเปาะด้านบนตามท่อส่งน้ำ เมื่อน้ำเดือดในกระเปาะล่าง ไหลขึ้นไปในกระเปาะบนเกือบหมดแล้วให้ดับไฟที่ตะเกียง น้ำที่เหลือยังคงไหลอยู่
5.       ชงกาแฟกับน้ำในกระเปาะ ด้านบนให้เข้ากัน และให้แน่ใจว่ากาแฟเปียกน้ำทั้งหมดอย่างทั่วถึง
6.       เมื่ออุณหภูมิในกระเปาะแก้วใบล่าง เริ่มลดลงในระดับหนึ่งจะทำให้เกิดภาวะสูญญากาศ ขึ้นในกระเปาะแก้วใบล่าง ในภาวะเช่นนี้น้ำกาแฟ ที่อยู่ในกระเปาะ แก้วด้านบนจะถูกดูดลงมา อยู่ใน กระเปาะแก้วใบล่าง และทิ้งกาแฟที่ใช้แล้วไว้ในกระเปาะแก้วด้านบน
7.       ค่อย ๆ ดึงกระเปาะแก้ว ด้านบนออก
8.       เทน้ำกาแฟที่ได้ในกระเปาะล่าง ในถ้วยกาแฟเสริฟทันที




การชงกาแฟระบบแรงดันไอน้ำ (Espresso Machine)
โดยหลักพื้นฐานการชงกาแฟ ของเครื่องชงกาแฟทั่วไปคือ การนำกาแฟคั่วบดแช่ในน้ำร้อน เพื่อให้กาแฟ ละลายส่วนความแตกต่าง ของเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่กับ เครื่องชงกาแฟทั่วไปคือ แรงดันไอน้ำ จะขับดันน้ำร้อน ผ่านกาแฟที่บดละเอียด ที่ถูกกดอัดอยู่ในบล็อกกรองออกมาเป็นน้ำกาแฟ


วิวัฒนาการของเครื่องชงกาแฟระบบแรงดันไอน้ำ
เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่ที่เก่าแก่ที่สุดที่ใช้ตามร้านอาหารและเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่เล็ก ๆ ที่ใช้กันตามบ้านในสมัยก่อน ใช้หลักการง่าย ๆ คือ น้ำถูกต้มให้เดือดในแทงค์ปิดสนิทเพราะฉะนั้น แทงค์น้ำจะประกอบไปด้วยน้ำร้อนและไอน้ำที่รวมตัวอัดแน่นกันอยู่ ดังนั้นเมื่อเราเปิดวาวล์ที่อยู่ใต้ท่อน้ำ, ไอน้ำที่ถูกกักไว้ในแทงค์จะดันน้ำร้อนออกมาตามช่องวาวล์ที่เราเปิดไว้และพุ่งผ่านกาแฟบดจนกลายเป็นกาแฟเอสเปรสโซ่
ต้นแบบเครื่องชงกาแฟแรงดันไอน้ำหรือเครื่องชงกาแฟ เอสเปรสโซ่เริ่มประดิษฐ์ขึ้นประมาณปี ค.. 1822 โดย Louis Bernard Rabaut นับตั้งแต่นั้นมาได้มีการนำต้นแบบ เครื่องชงกาแฟแรงดันไอน้ำ นี้มาพัฒนาและปรับปรุงอีก หลากหลายรูปแบบจนกระทั่งปัจจุบัน

การชง  (Brewing) การชงกาแฟที่ดี จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง  ดังนี้

-          กาแฟ ต้องเลือกกาแฟที่ดี มีคุณภาพ ผ่านกระบวนการคั่ว บด และเก็บรักษาที่ถูกวิธี
-       น้ำ ใช้น้ำที่ใสสะอาดผ่านการกรองแล้ว เพราะน้ำที่มีรสหรือกลิ่นจะทำให้รสชาติของกาแฟผิดเพี้ยนไป  อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมต่อการชงกาแฟมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ  94 –98 องศาเซลเซียส
-       อุปกรณ์ เครื่องชงและกาแฟบดต้องมีความสัมพันธ์กันดังที่กล่าวมาแล้ว กาแฟที่บดละเอียดจนเกินไป  จะใช้เวลาชงมากกว่าปกติ และทำให้กาแฟมีรสชาติขม  ส่วนกาแฟที่บดหยาบเกินไป  จะใช้เวลาชงน้อยกว่าปกติ  ทำให้กาแฟที่ได้มีรสชาติเจือจาง ทั้งนี้เพราะน้ำที่ใช้ชงกาแฟมีโอกาสดูดซับและสัมผัสกาแฟต่างกัน รสชาติกาแฟที่ได้จึงต่างกันด้วยโดยทั่วไปแล้ว สูตรการชงกาแฟที่ดีจะใช้ปริมาณกาแฟ 2  ช้อนโต๊ะ  ต่อน้ำ  6  ออนซ์ และก่อนรินกาแฟลงถ้วย  ผู้ชงควรอุ่นถ้วยกาแฟเสียก่อน เพื่อเก็บความร้อนของกาแฟให้นานยิ่งขึ้น




สูตรเครื่องดื่มกาแฟ
ร้านกาแฟส่วนใหญ่จะมีสูตรการชงกาแฟเฉพาะของตัวเอง รายการเครื่องดื่มกาแฟในแต่ละร้านจึงมีชื่อเรียกที่ต่างกันออกไป แต่สูตรที่เป็นสากลและรู้จักกันโดยทั่ว  ไป ได้แก่
-       เอสเปรสโซ่ (Espresso) : การนำกาแฟอาราบิก้าชนิดคั่วเข้มแบบ อิตาเลี่ยนโรสต์ หรือ เอสเปรสโซโรสต์  มาบดชงด้วยน้ำร้อนปริมาณ  1-1 ½ ออนซ์ ต่อครั้ง ไม่ควรชงกาแฟเอสเปรสโซ ไม่ควรชงกาแฟเอสเปรสโซครั้งละมากกว่า 2 ออนซ์  เพราะทำให้รสชาติกาแฟด้อยลง
-          คาปูชิโน่ (Cappuecino) :เอสเปรสโซผสมกับนมร้อน (150-170 องศาเซลเซียสและปิดด้วยฟองนม (Foamed milk)ในปริมาณ 6 ออนซ์ ที่อุ่นร้อนไว้ก่อน ถ้าเป็นคาปูชิโน่เย็นจะใช้วิปครีมแทนฟองนม
-          ริสเทรตโต (Ristretto) :เอสเปรสโซที่ชงด้วยน้ำน้อยกว่าปกติครึ่งหนึ่ง จะได้เอสเปรสโซ ชนิดเข้มข้น
-          มอคค่า  (Mocca) : การเติมน้ำเชื่อมช็อคโกแลตแท้หรือมอคค่าที่ก้นแก้ว ตามด้วย เอสเปรสโซ  1 ออนซ์ นมร้อน และปิดทับด้วยวิปครีม โรยหน้าด้วยช็อคโกแลตเกล็ดหรือผง
-       แคฟฟี่ ลาเต้: เอสปรสโซ  1  ออนซ์  ผสมนมร้อนจนเต็มถ้วย ปิดทับหน้าด้วยนมตีฟอง (Caffee Latte)หรือ  (Foamed milk) ¼ นิ้ว อาจโรยเกร็ดช็อคโกแลต

การเก็บรักษากาแฟเพื่อลดความสูญเสีย
การเก็บรักษากาแฟที่ดีจะทำให้กาแฟคงสภาพความสดใหม่ได้นาน ทั้งรสชาติและกลิ่นหอม ปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการเก็บรักษากาแฟ  ได้แก่ อุณหภูมิ  แสง  อากาศ ความชื้น สำหรับข้อควรปฏิบัติใน
การเก็บรักษากาแฟ  คือ
-          เก็บกาแฟไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท
-          เก็บกาแฟไว้ในที่เย็น อย่าให้กาแฟโดนความร้อนหรือแสงแดด  เพราะกลิ่นหอมของกาแฟอาจจางหายไปอย่างรวดเร็ว
-       ไม่ควรเก็บกาแฟไว้ในตู้เย็น  เพราะกาแฟจะดูดซับเอากลิ่นอาหารต่าง   ในตู้เย็นเข้าไปด้วย นอกจากนี้  การหยิบภาชนะที่บรรจุกาแฟเข้าออกจากตู้เย็นบ่อยครั้ง  กาแฟอาจเกิดความชื้นขึ้นได้
-          ควรบดเมล็ดกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมกับต่อการบริโภค  ร้านไม่ควรบดกาแฟทิ้งไว้ล่วงหน้านานเกิน  1  เดือน


ติดต่อ
­รายละเอียดเรื่องเมล็ดกาแฟคั่ว เครื่องบด เครื่องชงกาแฟ และกรรมวิธีการชงกาแฟ ผู้ประกอบการสามารถหาเพิ่มเติมได้จากบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่าย ดังนี้
.กาแฟบ้านเรา จำกัด http://coffeefresh.velocall.com Tel. 0-2801-7428 กด 1
.กาแฟแม่สลอง จำกัด http://www.maesalongcoffee.com/ Tel. 0-5321-1825
.บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด http://www.boncafe.co.th/ Tel. 0-2693-2570
.เคทู จำกัด http://www.k2.co.th Tel. 0-2513-7525
Ultimate Beverage Product Co.,Ltd. (94 Coffee Tel. 0-25306730
. เดอะคอฟฟี่เมคเกอร์ จำกัด Tel. 0-2573-5080
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูประถัมภ์ โครงการพัฒนาดอยตุงhttp://www.doitung.org/features/thai/coffee/index.htm
 


อ้างอิง

www.geocities.com/lm_kkn/career/career_sample.htm
www.sme.go.th/websme/franchise_coffee.asp
www.thaismecenter.com/tip.asp?id=12
www.thaismecenter.com/tip.asp